โรคทางสุขภาพจิต
โรคจิตเภท
(Schizophrenia) คือ
กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด
ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้มีผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
สาเหตุ
สาเหตุมาจากทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ดังนี้
ด้านร่างกาย
ทางพันธุกรรม
โดยสารเคมีในสมองมีความผิดปกติและจากโครงสร้าง ของสมองบางส่วนที่มีความผิดปกติเล็กน้อย
ด้านจิตใจ
จากความเครียดในชีวิตประจำวัน เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วย
การใช้อารมณ์กับผู้ป่วย การตำหนิ มีท่าทีที่ไม่เป็นมิตร
ลักษณะอาการ
อาการเริ่มต้น
อาการเริ่มต้น
อาจเกิดในแบบเฉียบพลันทันที หรือเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้
ในกรณีที่อาการเริ่มต้นเป็นแบบค่อย เป็นค่อยไป จะมีอาการเริ่มต้นอย่างช้าๆ
อาจมีอาการสับสน มีความรู้สึกแปลกๆ ไม่อยู่ในความเป็นจริง อาการ จะค่อยๆ มากขึ้น
ทำให้ครอบครัวและคนรอบข้างรู้สึกว่าผู้ป่วยเปลี่ยนไปจากบุคลิกภาพเดิม อาทิเช่น
แยกตัว ไม่อยากสุงสิงกับใครมีอาการ ระแวงคนอื่น มีปัญหาการนอนหลับ
ไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่การงาน การเรียน ได้เหมือน ปกติ ค่อยๆ หมดความสนใจ
สิ่งต่างๆ รอบตัว รวมถึง การดูแลสุขภาพอนามัยส่วนตัว
อาการเหล่านี้
เป็นอาการเริ่มต้นที่ช่วยเตือนว่า อาจจะมีการเริ่มต้นของโรคจิตเภทแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่ควรทำ คือ การ ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการบำบัดรักษาแต่เนิ่นๆ
ซึ่งจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีกว่าการปล่อยไว้นานจนเป็นการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ลักษณะอาการแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มอาการที่เพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่ อาการหลงเชื่อผิด เป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริง
เช่น คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้าย ระแวงว่าตนจะถูกวางยาพิษ คิดว่าตนส่งกระแสจิตได้
ความคิดผิดปกติ ผู้ป่วยคิดแบบมีเหตุผลอย่างต่อเนื่องไม่ได้
ทำให้คุยกับคนอื่นไม่เข้าใจ ผู้ป่วยมักพูดไม่เป็นเรื่องราว พูดไม่ต่อเนื่อง
เปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่มีเหตุผล
ประสาทหลอน โดยผู้ป่วยคิดว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น
ทั้งๆ ที่ ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาพูดด้วยทั้งๆ
ที่ไม่มีใครพูดด้วย (หูแว่ว) มองเห็นวิญญาณ (เห็นภาพหลอน)
มีพฤติกรรมผิดปกติ โดยมักเกี่ยวข้องกับความคิดและความเชื่อที่ผิดปกติ เช่น ทำร้ายคนอื่น อยู่ในท่าแปลกๆ ซ้ำๆ หัวเราะหรือร้องไห้สลับกันเป็นพักๆ
2. กลุ่มอาการที่ขาดหรือบกพร่องไปจากคนปกติทั่วไป
ได้แก่ เก็บตัว ซึม ไม่อยากพบปะผู้คน แยกตัวเอง
ไม่ดูแลตัวเอง ไม่สนใจเรื่องการแต่งกาย
กลางคืนไม่นอน ไม่มีความคิดริเริ่ม เฉื่อยชาลง ไม่ทำงาน นั่งเฉยๆ ได้ทั้งวัน
ผลการเรียนหรือการทำงานตกต่ำ พูดน้อย ใช้เวลานานกว่าจะตอบ พูดจาไม่รู้เรื่อง
เนื้อความไม่ปะติดปะต่อกัน การแสดงออกทางอารมณ์ลดลงมาก ไร้อารมณ์
มักมีสีหน้าเฉยเมย ไม่มีอาการยินดียินร้าย
ระยะดำเนินของโรค
ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยอาการนำ
แล้วตามมาด้วยอาการของโรคอาจจะเกิดแบบเฉียบพลัน หรือค่อยเป็นค่อยไป
อาการสงบลงสลับกับกำเริบขึ้นอีกเป็นครั้งคราว
ผ่านไปหลายปีอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับอาการนำ
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโดยอาการเป็นสำคัญ
ผู้ป่วยมีลักษณะดังต่อไปนี้
- มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ
- ป่วยเรื้อรัง
- ความสามารถในการดำรงชีวิตเสื่อมถอย
เช่น ทำงานไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้
- เมื่อป่วยแล้วไม่หายเป็นปกติเหมือนก่อนป่วย
การรักษา
การรักษาโรคจิตเภทประกอบด้วย
1. การรับไว้รักษาภายในโรงพยาบาล ผู้ป่วยจิตเภทที่ต้องให้การรักษาภายในโรงพยาบาลจะมีลักษณะต่อไปนี้คือ
มีปัญหาในการวินิจฉัย ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจนพฤติกรรมเสียระบบ (disorganized) และไม่เหมาะสมจนไม่สามารถจัดหาความต้องการพื้นฐานให้ตนเอง
ผู้ป่วยอาจจะฆ่าตัวตายหรือทำร้ายผู้อื่น
2. การรักษาทางกาย
( somatic treatment)
การใช้ยา antipsychotic ทำให้อาการโรคจิตดีขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้จิตเภทหาย
ผู้ป่วยต้องรับการรักษานาน โดยมีหลักการคือ รักษาอาการเฉียบพลัน
และให้ยาระยะยาวเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
การรักษาด้วยการทำให้ชักด้วยไฟฟ้า
( ECT) วิธีนี้ได้ผลสู้ยาต้านโรคจิตไม่ได้
แต่จะใช้ได้ผลดีมากสำหรับจิตเภทชนิด catatonia และผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาต้านโรคจิต
การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
เช่น จิตศัลยกรรม ( psychosurgery) โดยเฉพาะ frontal
lobotomy ปัจจุบันไม่ใช้วิธีนี้ในการรักษาจิตเภทแล้ว
3. การรักษาทางจิตสังคม แม้ว่ายาต้านโรคจิตจะเป็นหลักในการรักษาจิตเภท
แต่การรักษาทางจิตสังคมจะช่วยเพิ่มพูน ทำให้อาการทางจิตดีขึ้น
การรักษาจึงควรจะกระทำควบคู่กันไปทั้งการรักษาด้วยยา และการรักษาทางจิตสังคม
จิตบำบัด
โดยใช้แนวคิดทฤษฎีต่างๆมาใช้ในการบำบัด เช่น พฤติกรรมบำบัด ( Behavioral
therapy)
กลุ่มบำบัด ( Group Therapy)
ครอบครัวบำบัด
เพื่อให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วย
เป้าหมายของการรักษามี 3 ประการคือ
1. รักษาอาการให้หายหรือบรรเทาลง
(symptoms reduction) เช่น การรักษาด้วยยา
การช็อกด้วยไฟฟ้า
2. ป้องกันไม่ให้กลับป่วยซ้ำอีก
(prevention of relapse) เช่น
การทำจิตบำบัดแบบบุคคลหรือกลุ่ม
3. การฟื้นฟูสมรรถภาพ
ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น (rehabilitation) เช่น
เกษตรกรรมบำบัด อาชีวบำบัด จัดโปรแกรมให้ความรู้ การให้คำปรึกษา จิตบำบัดแบบประคับประคอง
การรักษาผู้ป่วยจิตเภท
ควรให้การรักษาอย่างเต็มที่ตั้งแต่ครั้งแรกจะเป็นผลดีที่สุด กล่าวคือ ร้อยละ90 จะหายจากอาการเจ็บป่วย
ถ้าทิ้งไว้นานอาการกำเริบครั้งต่อมาจะรักษาไม่ได้ผลดีเท่ากับการรักษาครั้งแรก
และยิ่งเป็นมากครั้งต้องใช้เวลารักษานานขึ้น นอกจากนี้
ผู้ป่วยจิตเภทที่เกิดอาการกำเริบบ่อยครั้ง การทำงานของสมองจะเสื่อมถอยลง
โดยพบว่าเนื้อสมองสีเทา (Gray matter) จะมีปริมาณลดลง
ทำให้ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการคิด การตัดสินใจอย่างมาก
ซึ่งส่งผลต่อการบำบัดทางจิตสังคม
โรคประสาท (Neurosis) เป็นโรคทางจิตประเภทหนึ่ง
ที่เกิดจากความผิดปกติทางจิตที่ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรม
และอารมณ์ให้เหมือนคนทั่วไปได้ ด้วยสาเหตุจากความวิตกกังวล ความไม่สบายใจ
จิตใจแปรปรวน อ่อนไหวง่าย มีความขัดแย้งในจิตใจ มีความรู้สึกไม่สบายใจ วิตกกังวล
ซึ่งจะมีอาการแสดงออกตามมา โดยผู้ป่วยมักแสดงออกทั้งทางร่างกาย
และจิตใจที่เห็นได้ชัด แต่ไม่รุนแรงเท่าโรคจิต
ผู้ป่วยสามารถมีจิตนึกคิดตามเหตุการณ์ที่เป็นจริง รู้ตัวเองอยู่เสมอ
ไม่มีอาการประสาทหลอนหรือเห็นภาพลวงตา หูแว่ว และสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป
โรคนี้สามารถเกิดได้ในทุกวัยเริ่มตั่งแต่วัยเด็กจนถึงคนสูงอายุ
สาเหตุ
1. สาเหตุทางพันธุกรรม
และโครงสร้างของร่างกาย
ที่ทำให้เกิดความบกพร่องของร่างกาย เช่น การสูญเสียอวัยวะ การพิการแต่กำเนิด
เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นมูลเหตุทำให้เกิดความท้อแท้
และเป็นปมด้อยในชีวิตได้
2. สาเหตุทางสังคม
และการใช้ชีวิต
ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็วทำให้การปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ทัน
การถูกตอกย้ำทางสังคมในจุดด้อยที่ตนเองมี รวมไปถึงปัญหาชีวิตในด้านต่างๆ เช่น
ความยากจน การหย่าร้าง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเครียด
ความวิตกกังวล และภาวะทางประสาทตามมา
3. สาเหตุทางชีวะเคมี
ที่เกิดจากภาวะร่างกายเจ็บป่วยหรือผิดปกติจากสาเหตุต่างๆ
ทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีต่างๆผิดปกติ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท สมอง
ส่งผลต่อการแสดงออกของพฤติกรรมของโรคทางประสาท
4. สาเหตุจากสารเสพติด
ที่ผู้ป่วยมีการใช้สารเสพติดหรือสารที่มีผลต่อระบบประสาทมากเกินขนาดหรือสะสมเป็นเวลานาน
ทำให้เกิดอาการทางประสาทตามมา
5. สาเหตุทางอายุ
ในวัยเด็กเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความกลัวอย่างรุนแรง
เด็กมักจดจำได้นาน และเก็บฝังภายในจิตใจ รวมไปถึงจุดพร่องที่ตนเองมีในวัยเด็ก
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นก็มักจะเกิดความกลัวได้ง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับการเผชิญเมื่อเป็นวัยผู้ใหญ่
จะก่อให้เกิดความแปรปรวนของนิสัย เช่น การกัดเล็บ การดูดนิ้วมือ
การปัสสาวะรดที่นอน บางรายอาจมีการกระตุกเกร็ง และบางคนมีความรู้สึกหวาดกลัว
ส่วนวัยผู้สูงอายุ
มักเกิดอาการทางประสาทได้ง่ายในภาวะที่จิตใจอ่อนแอหรือรู้สึกทอดทิ้ง
ลักษณะอาการ
อาการของโรคประสาทมีลักษณะเด่นในเรื่องของการวิตกกังวลเป็นพิเศษ
และมีอาการอื่นร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการเหล่านี้ คือ
1. มีอารมณ์เครียด
วิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ
2. ชีพจรเต้นแรง เร็ว ใจสั่น
มีอาการแน่นหน้าอก อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย และปัสสาวะบ่อย
3. มีอาการเกร็งของระบบกล้ามเนื้อ มือสั่น
กล้ามเนื้อกระตุก
4. มักมีความคิดซ้ำซาก ย้ำคิดย้ำทำ วนไปวนมา
ในสิ่งที่ตนเองกังวล และมักคิดในแง่ร้าย ร่วมด้วยอาการกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
5. มีอาการเหม่อลอย ซึมเศร้า
6. มีอาการตกใจง่ายเมื่อมีเสียงดังหรือมีเหตุการณ์ที่น่าตกใจ
ระยะดำเนินโรค
ในผู้ใหญ่จะต้องมีอาการอยู่นานถึง
๒ ปี และในเด็กหรือวัยรุ่นต้องมีอาการ ๑ ปี จึงจะวินิจฉัย
อารมณ์เศร้าอาจเกิดติดต่อกัน หรือมีระยะที่อารมณ์เป็นปกติเกิดแทรกอยู่ ซึ่งจะกิน
เวลาตั้งแต่ ๒-๓ วัน ถึง ๒–๓ สัปดาห์ แต่ไม่เกิน ๒-๓
เดือน
การวินิจฉัย
โดยทั่วไปจะถือว่าป่วยเป็นโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ
เมื่ออาการย้ำคิดย้ำทำนั้นเป็นมากจนทำให้เกิดปัญหาหนึ่งใน 3 อย่างต่อไปนี้
1.อาการเป็นมากเลิกคิดเลิกทำไม่ได้จนทำให้รู้สึกเป็นทุกข์ทรมานมาก
2.อาการเป็นมากจนทำให้เสียงานเสียการเพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำหรือต้องคอยหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะมากระตุ้นให้เกิดอาการย้ำคิด
3.อาการต่างๆ
ทำให้ต้องทำอะไรที่อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้เช่น
ต้องกินเหล้ากินเบียร์เพื่อลดความเครียด โกรธ และทำร้ายตัวเอง
หรือบางรายเกิดอาการซึมเศร้าอยากตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย
การรักษา
การรักษาอาการของโรคประสาทจะเน้นที่การเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการคิดของผู้
ป่วยเป็นหลักที่จะส่งผลต่อพฤติกรรม และความคิดให้เหมือนคนปกติทั่วไป
ปัจจุบันทางการแพทย์มักใช้แนวทาง ดังนี้
1. การใช้ยา
ในระยะการรักษาขั้นต้นอาจมีการใช้ยาหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือใช้ยาเพื่อ ลดอาการในระยะแรก
ในการลดความวิตกกังวล เช่น ยาคลายเครียด ยานอนหลับ ยาบำรุงประสาท เป็นต้น
2. การรักษาทางจิตใจหรือทางแพทย์เรียก
จิตบำบัด ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยวิธีจิตบำบัด
เพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดทำให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจตนเอง
ยอมรับในความเป็นจริง
3. พฤติกรรมบำบัด
วิธีนี้มักใช้ควบคู่ไปกับกระบวนการจิตบำบัด
โดยการฝึกให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับความเครียด
ความวิตกกังวลของตนเองด้วยวิธีการต่างๆ สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า
เพื่อลดความเครียด และอาการที่อาจแสดงออกทางร่างกายจากภาวะวิตกกังวล
4. แต่หากผู้ป่วยบางรายสามารถรับรู้ถึงภาวะที่ตนเองเป็นอยู่
ก็อาจสามารถบำบัดอาการป่วยทางจิตไดด้วยตนเอง
ด้วยการจัดการความเครียดหรือความวิตกกังวลด้วยวิธีต่างๆ เช่น การนั่งสมาธิ
การเข้าวัดฟังธรรม การท่องเที่ยวหรือการปรึกษาคนใกล้ชิด เป็นต้น
โรคซึมเศร้า หรือ
ภาวะซึมเศร้ารุนแรง (อังกฤษ: Major depressive disorder,
Clinical depression, Major depression, Unipolar depression) เป็นความผิดปกติของจิตใจซึ่งมีลักษณะโดยรวมคือ
มีภาวะซึมเศร้าร่วมกับขาดความเคารพตนเอง รวมทั้งมีภาวะสิ้นยินดี (anhedonia) คือไม่มีความสนใจหรือพึงพอใจในกิจกรรมที่โดยปกติเป็นที่น่าพึงพอใจ
สาเหตุ
1. ปัจจัยด้านชีวภาพ
1) พันธุกรรม พบว่าพันธุกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องสูงในโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะในกรณีของrecurrent
depression โดยความเสี่ยงในญาติสายตรงร้อยละ 7
2) Neurotransmitter system ผู้ป่วยมี norepinephrine,
serotoninต่ำลง รวมทั้งอาจมีความผิดปกติของ receptor ที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าเป็นความบกพร่องในการควบคุมประสานงานร่วมกัน มากกว่าเป็นความผิดปกติที่ระบบใดระบบหนึ่ง
3) Neuroendocrine systems พบมีความผิดปกติในหลายระบบ
ได้แก่
- Cortisol หลั่งมากและตอบสนองน้อยต่อการกระตุ้นด้วย dexamethasone
- Growth hormone หลั่งน้อยกว่าปกติ เมื่อถูกกระตุ้นด้วย clonidine
- Thyroid stimulation hormone (TSH) หลั่งน้อยกว่าปกติ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยthyrotropin releasing
hormone (TRH)
การที่ภาวะซึมเศร้าทำให้การทำงานของ hypothalamic-pituitary-adrenal
axic (HPA- axis) เพิ่มขึ้น ทำให้ระดับ glucocorticoid ในพลาสม่าเพิ่มขึ้น ส่งผลยับยั้งกระบวนการ neurogenesis และ dendritic remodeling ใน hippocampus ทำให้เซลล์บริเวณ hippocampus ทำให้เซลล์บริเวณ hippocampus เกิดการฝ่อลงหรือตายลง
ในแง่ของความสัมพันธ์กับอาการแสดง
คาดว่าในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าน่าจะมีความผิดปกติบริเวณlimbic system ซึ่งเกี่ยวข้องกับด้านอารมณ์ ความคิด บริเวณ hypothalamus ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมการหลั่งฮอร์โมนตลอดจน biological
pattern และบริเวณ basal pattern และบริเวณbasal ganglia ซึ่งเกี่ยวข้องกับ psychomotor
activity
2. ปัจจัยด้านจิตสังคม
ผู้ป่วยมักมีแนวคิดที่ทำให้ตนเองซึมเศร้า เช่น มองตนเองในแง่ลบ
มองอดีตเห็นแต่ความบกพร่องของตนเอง หรือ มองโลกในแง่ร้าย เป็นต้น
แต่ละ personality disorder มีความเสี่ยงต่อการเกิด depression พอๆกัน และส่วนหนึ่งของผู้ป่วยมีการสูญเสียบิดามารดาก่อนอายุ 11 ปี
ลักษณะอาการของโรค
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีอารมณ์ซึมเศร้าหดหู่
หมดความสนุก หรือหมดอาลัยตายอยาก (Anhedonia) คงอยู่นานตั้งแต่สองสัปดาห์ขึ้นไป โดยมีอาการด้านต่างๆ ดังนี้
การอาการทางกาย (Neurovegetative
or Somatic Symptoms) เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ปวดหัว ปวดศรีษะ ปวดท้อง อ่อนเพลีย
อาการทางบุคลิกภาพ
เช่น มีอาการพูดช้า พูดเสียงเบา คิดช้า
เคลื่อนไหวช้า แยกตัว บางรายมีอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย นั่งไม่ติด ต้องเดินไปมา
อาการทางความคิด
ผู้ป่วยซึมเศร้ามักมีความคิดมองโลกแง่ร้าย วิตกกังวล ขาดสมาธิและความมั่นใจ ในรายที่มีอาการมากๆ อาจหลงผิดมากจนเข้าขั้นโรคจิต(Psychosis) เช่น คิดว่าคนอื่นจะมาทำร้ายตนเอง และคิดฆ่าตัวตายได้
ในเด็กและวัยรุ่น อาการแสดงจะแตกต่างจากผู้ใหญ่ โดยเด็กเล็กมักแสดงออกด้วยอาการไม่ยอมไปโรงเรียน กังวลการแยกจากพ่อแม่ (Separation Anxiety) แต่ในเด็กโตจะมีอาการปวดตามตัว
รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง
และตามมาด้วยปัญหาการเรียนสำหรับวัยรุ่นอาจแสดงออกเป็นอารมณ์ฉุนเฉียว แยกตัว
หนีเรียน และรุนแรงจนถึงการใช้ยาเสพติด
ระยะการดำเนินโรค
อารมณ์เศร้าหรือเบื่อหน่ายจะเป็นเกือบทั้งวัน
และเป็นติดต่อกันเกือบทุกวันนานหว่า 2สัปดาห์ขึ้นไป
การวินิจฉัย
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า
มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 5 ข้อ โดยอย่างน้อยต้องมีข้อ 1) หรือ ข้อ 2) หนึ่งข้อ ทั้งนี้ต้องมีอาการต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- ซึมเศร้า ความสนใจหรือความเพลินใจในสิ่งต่างๆลดลงอย่างมาก เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลดลงมากกว่า 5% ใน 1 เดือน
- นอนไม่หลับ หรือ นอนมากกว่าปกติ Psychomotor agitation หรือ retardation (อาการทางจิตประสาท เช่น
หวาดระ แวง เห็นภาพหลอน หรือ หูแว่ว)
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรงรู้สึกตนเองไร้ค่า หรือ รู้สึกผิด สมาธิลดลง ลังเลใจคิดเรื่องการตาย หรือการฆ่าตัวตาย
อาการเหล่านี้
ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน หรือทำให้การประกอบอาชีพ การเข้าสังคม
หรือหน้าที่ด้านอื่นที่สำคัญ บกพร่องลงอย่างชัดเจน
การรักษา
1. การรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ในรายที่อาการมาก
เช่น กระวนกระวายมาก ไม่กินอาหาร ผอมลงมาก หรือมีความคิดฆ่าตัวตายบ่อยๆ
ให้รับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง
ต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
2. การรักษาด้วยยา การรักษาแบ่งออกเป็น 3
ระยะตามการดำเนินโรค
ก. การรักษาระยะเฉียบพลัน เป็นการรักษาเริ่มตั้งแต่เมื่อผู้ป่วยมาพบขณะมีอาการไปจนถึงหายจากอาการ
คือเข้าสู่ระยะ remission ยาหลักที่ใช้ในการรักษาได้แก่
ยาแก้ซึมเศร้า ขนาดที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่ fluoxetine เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่ำ กินเกินขนาดไม่เสียชีวิต เริ่มโดยให้ขนาด 20 มก.กินวันละ 1 มื้อหลังอาหารเช้า
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการกระวนกระวาย หรือวิตกกังวลมากร่วมด้วยอาจให้ diazepam 2 มก. กิน เช้า-เย็น ร่วมด้วยในช่วง 2 สัปดาห์แรก
หากมีอาการนอนไม่หลับอาจให้ amitriptyline 10 มก.
หรือ diazepam 2-5 มก. กินก่อนนอน
ในระยะนี้ ยาแก้ซึมเศร้าได้ผลในการรักษาประมาณร้อยละ 70-80
ในผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นไม่มากควรเพิ่มขนาดขึ้นถึง 40-60 มก./วัน หากให้นาน 4
สัปดาห์ แล้วยังไม่ตอบสนองอาจเปลี่ยนเป็นยาแก้ซึมเศร้าขนาดอื่น
ผู้ป่วยที่มีอาการโรคจิตร่วมด้วยนั้นการรักษาต้องให้ยารักษาโรคจิตควบคู่กันไป
โดยทั่วไปขนาดไม่สูงเท่าที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคจิตเภท
เมื่ออาการทางจิตดีขึ้นแล้วให้ค่อยๆ ลดยาลงจนหยุดยา
ข. การรักษาระยะต่อเนื่อง เป็นการให้การรักษาต่ออีกประมาณ
4-9 เดือนหลังจากผู้ป่วยหายแล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้ป่วยเข้าสู่ระยะ recover ทั้งนี้พบว่าหากหยุดการรักษาก่อนนี้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดrelapse สูงมาก เมื่อครบระยะเวลาแล้วให้ค่อยๆ ลดยาลงทุก 2-3 สัปดาห์จนหยุดการรักษา
ขณะลดยาหากผู้ป่วยเริ่มกลับมามีอาการอีก ให้เพิ่มยาขึ้นแล้วคงยาอยู่ในระยะหนึ่ง
เช่น 2-3 เดือนแล้วลองลดยาใหม่
ข้อบ่งชี้ในการให้ยาแก้ซึมเศร้าป้องกันระยะยาว
1. มีอาการมาแล้ว 3 ครั้ง
2. มีอาการมาแล้ว 2 ครั้ง ร่วมกับมีภาวะต่อไปนี้
- ประวัติ recurrent major depression และ bipolar
disorder ในญาติใกล้ชิด
- มีประวัติ recurrence ภายใน 1 ปี
หลังจากหยุดการรักษา
- เริ่มมีอาการครั้งแรกขณะอายุยังน้อย (ต่ำกว่า 20 ปี)
- มีอาการที่เป็นเร็ว รุนแรง หรืออันตรายต่อผู้ป่วยมา 2 ครั้ง
ภายในช่วงเวลา 3 ปี
ระยะเวลาให้ยาป้องกันอย่างน้อยควรนาน 2-3 ปี
จากนั้นจึงจะประเมินอีกครั้งหนึ่งว่าสมควรให้ยาป้องกันต่ออีกหรือไม่
ถ้าเป็นมากกว่า 3 ครั้งควรให้นานอย่างน้อย 5 ปี
3. การรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive
therapy: ECT)ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา
ทนต่ออาการข้างเคียงของยาไม่ได้ หรือมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง
ได้ผลดีในผู้ป่วยที่อาการรุนแรง เป็นแบบ melancholic หรือมีอาการโรคจิต แต่ ECT ไม่ได้ช่วยป้องกัน recurrenceจึงควรให้การรักษาด้วยยาต่อหลังจากผู้ป่วยอาการดีขึ้น
4. จิตบำบัด
ชนิดที่ได้ผลดีใน depressive disorder ได้แก่
1) Cognitive-behavior therapy เชื่อว่าอาการของผู้ป่วยมีสาเหตุจากการมีแนวคิดที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง
การรักษา มุ่งแก้ไขแนวคิดของผู้ป่วยให้สอดคล้องกับความจริงมากขึ้น
รวมถึงการปรับพฤติกรรม ใช้ทักษะใหม่ในการแก้ปัญหา
2) Interpersonal therapy เป็นการรักษาที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยกับผู้อื่น
มุ่งให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมและผู้อื่นที่ดีขึ้น
ไม่เน้นถึงความขัดแย้งในจิตใจ
3) Short-term psychodynamic psychotherapy หลักการเช่นเดียวกับpsychodynamic psychotherapy แต่ระยะเวลาโดยทั่วไปนานไม่เกิน 6 เดือน
ผู้รักษาจะมีส่วนในการช่วยผู้ป่วยสืบค้นถึงความขัดแย้งในจิตใจ
แก้ไขโครงสร้างบุคลิก
โรคกังวลทั่วไป (Generalized
Anxiety Disorder : GAD) ผู้ป่วยมีอาการกังวลเกินกว่าเหตุในหลายๆ
เรื่องพร้อมกัน ร่วมกับอาการทางกายต่างๆ โดยเฉพาะอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ
จนทำให้เกิดปัญหากับผู้ป่วยในหลายๆ ด้าน
สาเหตุ
1. ปัจจัยด้านจิตใจ
แนวคิดทฤษฎีจิตวิเคราะห์มองว่าอาการวิตกกังวลเป็นจากความขัดแย้งใจจิตไร้สำนึกที่ไม่ได้ถูกแก้ไข
มีความผิดปกติในแง่ของการรับรู้และแปลผลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในลักษณะมองโลกในแง่ร้าย
และยังประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของตนต่ำเกินจริงอีกด้วย
จึงทำให้เกิดความรู้สึกกลัวและกังวล
2. ปัจจัยด้านชีวภาพ ยังไม่ทราบแน่ชัด
แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสารสื่อประสาทหลายตัว เช่นGABA, serotonin ส่วนปัจจัยทางพันธุกรรมยังมีการศึกษาน้อยอยู่
เท่าที่มีก็ไม่พบความเกี่ยวข้องที่ชัดเจน
ลักษณะอาการ
อาการเด่น ได้แก่
- กลุ่มอาการวิตกกังวล ความวิตกกังวลนี้จะมีมาก(excessive) เป็นอยู่ตลอด(persistent) และเป็นไปกับแทบทุกเรื่อง
(pervasive) เช่น กลัวสามีจะประสบอุบัติเหตุ
กลัวลูกถูกทำร้าย กลัวตึกถล่ม กลัวตนเองเจ็บป่วย ฯลฯ
- อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย เพลีย
หายใจขัด เหงื่อออก ท้องไส้ปั่นป่วน
- อาการระบบกล้ามเนื้อตึงเครียด เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามตัว
กระสับกระส่าย ตัวสั่น
- Cognitive hypervigilance เช่น รู้สึกตื่นตัว ตกใจง่าย
วอกแวก
ระยะการดำเนินโรค
อาการจะเป็นอยู่บ่อยๆ
นานกว่า 6 เดือน
การวินิจฉัย
A มีความวิตกกังวลมากเกินกว่าเหตุ (apprehensive
expectation) ต่อหลายๆเรื่อง
B ผู้ป่วยรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมความกังวลนี้ได้
C มีอาการทางกายต่างๆ ดังต่อไปนี้ (อย่างน้อย 3 ใน 6 ข้อ, หรือ ในเด็กมีเพียง 1 ใน 6 ข้อ)
1) กระสับกระส่าย
2) อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
3) มีปัญหาด้านสมาธิ ความจำ
4) หงุดหงิด
5) ปวดเมื่อย ตึงตามกล้ามเนื้อ
6) มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน
การรักษา
การรักษาที่ดีที่สุด คือ การรักษาโดยจิตบำบัดร่วมกับการใช้ยา
1. จิตบำบัด
Cognitive behavior therapy โดยแก้ไขการมองโลกที่ผิดไปของผู้ป่วย
ให้กลับมามองอย่างถูกต้อง ร่วมกับการใช้ relaxation technique เพื่อลดอาการทางกาย
Psychodynamic psychotherapy โดยพยายามช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจสาเหตุของความวิตกกังวล
และสามารถทนกับความกังวลนั้นได้มากขึ้น
2. การรักษาด้วยยา
Benzodiazepine เช่น diazepam ขนาด 5-15 มก./วัน จะช่วยลดอาการวิตกกังวลและอาการทางกายได้ดี
ซึ่งควรให้ยาต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน
Selective Serotonin Reuptake Inhibitor (SSRI) การใช้ sertraline หรือ paroxetine ได้ผลดี ไม่ค่อยฝช้ fluoxetine เพราะอาจจะทำให้มีอาการ anxiety เพิ่มขึ้น
การใช้ยา Benzodiazepine หรือ SSRI ควรให้นานต่อเนื่อง 6-12 เดือน
หรืออาจจะให้ไปนานกว่านั้นได้ เพราะพบว่าหลังหยุดยาร้อยละ 60-80 มีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้อีก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยพบอาการดื้อยา (tolerance) ในผู้ป่วยกลุ่มนี้
Propranolol ใช้เพื่อลดอาการใจสั่น มือสั่น โดยปรับขนาดยาให้สามารถลดชีพจรได้ 5-10 ครั้ง/นาที และต้องระวังผลข้างเคียงคือ depression ,
nausea และ bradycardia
บุคลิกภาพแปรปรวน(Personality
Disorders) เป็นบุคลิกภาพที่แตกต่างจากบุคลิกภาพของคนส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก บางคนเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ซื่อสัตยสุจริต ขยันหมั่นเพียร
และมีความกระตือรือร้น แต่บางคนก้าวร้าว ดื้อรั้น หรือเฉื่อยชา ฯลฯ บุคลิก
ภาพที่มีลักษณะต่างจากของคนทั่วไปมากๆ ถือว่าเป็นบุคลิกภาพแปรปรวน ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้บุคคลที่เป็นเจ้าของและสังคมได้
สาเหตุ
ปัจจุบันเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดบุคลิกภาพแปรปรวน
แต่พบว่าปัจจัยที่อาจจะเป็นสาเหตุมีดังนี้
1.
ลักษณะที่ติดตัวบุคคลผู้นั้นมาตั้งแต่เกิด
เช่น ลักษณะประจำตัวเด็กแต่ละคน หรือการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
เช่นมีผู้พบว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบอันธพาลมักจะมีบิดามารดาเป็นอันธพาล
แม้ว่าจะได้แยกเด็กไปให้คนอื่นเลี้ยงตั้งแต่วัยเด็กแล้วก็ตาม
นอกจากนั้นยังพบว่าคนที่มีบุคลิกภาพแบบอันธพาลจะมีลักษณะของคลื่นสมองผิดปกติบ่อยกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ
2. การพัฒนาทางบุคลิกภาพ
เช่น การอบรมเลี้ยงดูอย่างขาดความอบอุ่นในวัยทารก
อาจทำให้ทารกนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ซึ่งขาดความไว้วางใจสิ่งแวดล้อม
หรือยึดติดกับการพัฒนาทางบุคลิกภาพในระยะปาก คือ เป็นคนรับประทานจุกจิก ปากจัด
ชอบวิจารณ์ หรือติดสุราและยาเสพติด การเข้มงวดกวดขันเกี่ยวกับการขับถ่ายในวัย ๑-๓
ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่ความสุขของเด็กอยู่ที่ทวารหนัก
ก็อาจทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นคนพิถีพิถัน เจ้าระเบียบ เคร่งครัดในคุณธรรม
หรือกังวลเรื่องความสะอาดมากเกินไป เป็นต้น
3.
ประสบการณ์ในวัยเด็กอาจส่งเสริมพฤติกรรมที่ผิดปกติ
เช่น
3.1 เมื่อทำไม่ดีแล้วได้รับรางวัล
เช่น เมื่อเด็กต้องการอะไรซึ่งพ่อแม่ไม่ต้องการให้เด็กจะร้องเสียงดังลงดิ้นกับพื้น
หรือกระแทกศีรษะกับฝาผนัง ทำให้พ่อแม่จำต้องยอมให้สิ่งที่เด็กต้องการ
เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ เด็กจะมีนิสัยเอาแต่ใจตน และแสดงอารมณ์รุนแรงเมื่อถูกขัดใจ
3.2 การถูกอบรมเลี้ยงดูที่เคร่งครัดเกินไป
การที่พ่อแม่เคร่งครัดไม่ผ่อนปรน และขาดเหตุผลต่อเด็ก
เมื่อเด็กประพฤติผิดไปจากสิ่งที่พ่อแม่กะเกณฑ์ไว้ก็จะตำหนิหรือลงโทษเด็ก
โดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลจากเด็ก อาจทำให้เด็กเป็นผู้มีพฤติกรรมก้าวร้าว
และประพฤติตรงกันข้าม กับที่พ่อแม่ต้องการ
3.3 การที่บิดามารดาหรือบุคคลที่มีอำนาจในครอบครัวมีบุคลิกภาพผิดปกติ
เด็กอาจลอกเลียนลักษณะที่ผิดปกติเหล่านั้นได้
4. ปัจจัยทางจิต-สังคม (psychosocial
factor) มีผู้ศึกษาบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบอันธพาล
พบว่าบุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำ
อาศัยอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรม และมีภูมิลำเนาอยู่ในเมือง
บิดามารดามักทะเลาะกันเป็นประจำหรือแยกทางกัน ติดสุราหรือยาเสพติด
หรือมีบุคลิกภาพแบบอันธพาล เพราะฉะนั้นปัจจัยทางจิต-สังคมอาจมีส่วนเป็นสาเหตุของบุคลิกภาพแปรปรวนได้เช่นกัน
5. ความผิดปกติในหน้าที่ของสมอง
เช่น โรคลมชัก การอักเสบของสมอง Arteriosclerotic brain disease,
Senile dementia และ Alcoholism ฯลฯ ทำให้บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้
ลักษณะอาการ
บางคนเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ซื่อสัตยสุจริต
ขยันหมั่นเพียร และมีความกระตือรือร้น แต่บางคนก้าวร้าว ดื้อรั้น หรือเฉื่อยชา ฯลฯ
บุคลิก ภาพที่มีลักษณะต่างจากของคนทั่วไปมากๆ ถือว่าเป็นบุคลิกภาพแปรปรวน
ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้บุคคลที่เป็นเจ้าของและสังคมได้
ระยะการดำเนินโรค
โดยทั่วไปจะเริ่มปรากฏในวัยรุ่นหรืออาจเร็วกว่านั้น
และจะดำเนินต่อไปเกือบตลอดวัยผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามลักษณะดังกล่าวจะชัดเจนน้อยลง
ในวัยกลางคนและวัยชรา
การวินิจฉัย
มีอาการผิดปกติเหล่านี้อย่างน้อย 2 อย่าง
1.Cognitive : รับรู้เกี่ยวกับตนเอง/บุคคลอื่น/สกานการณ์
2.Interpersonal functioning: มีปัญหาสัมพันธภาพกับผู้อื่น
การรักษา
การรักษาปัญหาบุคลิกภาพแปรปรวนเป็นสิ่งที่ลำบากมาก
เพราะบุคคลผู้นั้นมักไม่มีความต้องการจะรักษา การมาพบแพทย์มักเนื่องจากผู้อื่น
เช่น บิดามารดา คู่สมรส หรือนายจ้าง รบเร้าให้มา
แต่ก็มีบางรายที่มาเพราะกังวลจากผลสะท้อนทางสังคมเกี่ยวกับพฤติกรรมของตน
หรือเพราะเริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าตนผิดปกติ หลักการรักษาคือ
1. จิตบำบัดอย่างลึก (intensive
psychoanalytically oriented psychotherapy)
2. จิตบำบัดเฉพาะตัว (individual
therapy) การรักษาจะมุ่งเฉพาะพฤติกรรมที่ผิดปกติมากกว่าจะมุ่งที่ความขัดแย้งภายในจิตใจ
3. จิตบำบัดกลุ่ม
ภาวะการปรับตัวผิดปกติ
(adjustment
disorder) เป็นปฏิกิริยาปรับตัวผิดปกติต่อความเครียด (psychosocial
stressor) เกิดขึ้นภายใน 3 เดือนหลังจากมีความเครียด
และคงอยู่นานไม่เกิน 6 เดือน
เป็นการตอบสนองอย่างมีพยาธิสภาพ ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตเดิมที่มีอาการกำเริบ
จัดอยู่ในกลุ่มโรคทางจิตเวชที่เป็นแบบ non-psychotic ซึ่งสามารถหายเป็นปกติได้ โดยที่อาการทางจิตเวชมักจะเกิดภายในเวลา 3 เดือนหลังจากมีภาวะความกดดันมากระทบ มีสาเหตุชัดเจนจากภาวะความกดดัน
ก่อให้ผู้ป่วยเกิดความเครียด จนไม่สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
สาเหตุ
สาเหตุโดยตรงของโรคนี้
ก็คือภาวะความกดดัน ลักษณะความกดดันจากภาวะจิตสังคมที่พบบ่อย ได้แก่
ปัญหาเกิดจากในครอบครัว หน้าที่การงาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ปัญหาทางด้านการเงิน ความเจ็บป่วยทางกาย หรือทางจิตใจ
ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของวงจรชีวิตคนเรา เช่น วัยรุ่น การเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก
การแต่งงาน เป็นต้น หรือความกดดันอย่างอื่น เช่น ภัยทางธรรมชาติ ระเบิด สงคราม
สาเหตุความกดดันอาจมีเพียงอย่างเดียว หรือหลายอย่างประกอบกันก็ได้ ความกดดันอาจเกิดจากครอบครัว ทำให้เป็นปัญหากับบุคคลใดบุคคลหนึ่งในครอบครัว หรือกับทุกคนในครอบครัวก็ได้ หรืออาจเป็นปัญหาของชุมชน โดยกลุ่มคนที่พบสถานการณ์ร่วมกันอาจเกิดปัญหาการปรับตัวได้เช่นกัน เช่น ภาวะสงคราม การอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ เป็นต้น
สาเหตุความกดดันอาจมีเพียงอย่างเดียว หรือหลายอย่างประกอบกันก็ได้ ความกดดันอาจเกิดจากครอบครัว ทำให้เป็นปัญหากับบุคคลใดบุคคลหนึ่งในครอบครัว หรือกับทุกคนในครอบครัวก็ได้ หรืออาจเป็นปัญหาของชุมชน โดยกลุ่มคนที่พบสถานการณ์ร่วมกันอาจเกิดปัญหาการปรับตัวได้เช่นกัน เช่น ภาวะสงคราม การอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ เป็นต้น
ความรุนแรงของเหตุการณ์ไม่สามารถทำนายความรุนแรงของปฏิกิริยายาตอบสนองได้
ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแออาจจะมีความผิดปกติอย่างมากต่อความกดดันในระดับต่ำหรือระดับปานกลางในขณะที่ผู้อื่นอาจเกิดความผิดปกติเพียงเล็กน้อยทั้งที่ได้รับความกดดันอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ระดับของการตอบสนองต่อความกดดันของคนเรามิได้สัมพันธ์อย่างตรงไปตรงมากับระดับความรุนแรงของความกดดัน
แต่จะเป็นความสัมพันธ์ร่วมกันของปัจจัยต่อไปนี้
1. Stressors คือ ลักษณะของความกดดันที่เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหา
ความรุนแรงของ stressor ไม่ได้สัมพันธ์กับความรุนแรงของ adjustment
disorder
2. Situational context คือ สภาวะแวดล้อมขณะนั้นของผู้ป่วย
เช่น ขณะตั้งครรภ์ใกล้ คลอด ได้ยินข่าวสามีประสบอุบัติเหตุ
3. Intrapersonal factors คือ เหตุปัจจัยในตัวผู้ป่วยเอง เช่น
นิสัย วิธีการปรับตัว เป็นต้น
บุคคลแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดไม่เหมือนกัน ความเครียดอย่างเดียวกัน ระดับเดียวกัน บางคนอาจมีปฏิกิริยาต่อความเครียดนั้นอย่างมากมาย แต่บางคนอาจไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของบุคคลนั้น ๆ เช่น ลักษณะพื้นฐานทางอารมณ์ที่มีมาแต่กำเนิด พันธุกรรม โรคทางร่างกาย ระดับอายุ บุคลิกภาพ เป็นต้น
บุคคลแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดไม่เหมือนกัน ความเครียดอย่างเดียวกัน ระดับเดียวกัน บางคนอาจมีปฏิกิริยาต่อความเครียดนั้นอย่างมากมาย แต่บางคนอาจไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของบุคคลนั้น ๆ เช่น ลักษณะพื้นฐานทางอารมณ์ที่มีมาแต่กำเนิด พันธุกรรม โรคทางร่างกาย ระดับอายุ บุคลิกภาพ เป็นต้น
การอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็กตาม concept ของ Winnicott “GOOD-ENOUGH-MOTHER” การเลี้ยงดูที่ตอบสนองความต้องการของเด็กได้เพียงพอ จะทำให้เด็กเติบโตและทนต่อความเครียดได้ดี
โดยเฉเพาะในกลุ่มบุคคลที่มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ หรือมีความผิดปกติทางด้านสมองมาก่อน จะมีความต้านทานต่อความกดดันได้น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดปัญหาภาวการณ์ปรับตัวผิดปกติได้บ่อยกว่า
โดยเฉเพาะในกลุ่มบุคคลที่มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ หรือมีความผิดปกติทางด้านสมองมาก่อน จะมีความต้านทานต่อความกดดันได้น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดปัญหาภาวการณ์ปรับตัวผิดปกติได้บ่อยกว่า
ลักษณะอาการ
เกิดได้กับคนทุกอายุ มีอาการแสดงออกได้หลายแบบ ได้แก่ ซึมเศร้า วิตกกังวล การเรียนไม่ดี
ทำงานไม่ไหว อาการทางร่างกาย เช่น ปวดหลัง
ปวดศีรษะ
อาการทางคลินิกของภาวะความผิดปกตินี้
มีได้หลายแบบ DSM IV ได้จำแนกออกเป็น 6 กลุ่มย่อย ดังต่อไปนี้
1.Adjustment disorder with anxiety อาการเด่นคือ
กระสับกระส่าย วิตกกังวลหงุดหงิด ตึงเครียด และตื่นเต้น ในเด็กกลัวการพลัดพรากจากผู้ที่ตนเองรัก
2. Adjustment disorder with depressed mood อาการที่เด่นเป็น
อารมณ์เศร้า เสียใจ และรู้สึกสิ้นหวัง
3. Adjustment disorder with disturbance of conduct อาการเด่นได้แก่ มีความ ประพฤติที่ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น ละเมิดต่อผู้ใหญ่ หรือละเมิดต่อกฎเกณฑ์ต่างๆ ตัวอย่าง เช่น หนีโรงเรียน ไม่รับผิดชอบ แสดงความป่าเถื่อน ขับรถอย่างบ้าระห่ำ ใช้กำลังเข้าต่อสู้ ละเลยความรับผิดชอบตามกฎหมาย
3. Adjustment disorder with disturbance of conduct อาการเด่นได้แก่ มีความ ประพฤติที่ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น ละเมิดต่อผู้ใหญ่ หรือละเมิดต่อกฎเกณฑ์ต่างๆ ตัวอย่าง เช่น หนีโรงเรียน ไม่รับผิดชอบ แสดงความป่าเถื่อน ขับรถอย่างบ้าระห่ำ ใช้กำลังเข้าต่อสู้ ละเลยความรับผิดชอบตามกฎหมาย
4. Adjustment disorder with mixed disturbance of emotions and conduct อาการที่ เด่นเป็นอาการ
ต่างๆ ทางอารมณ์ เช่น อารมณ์เศร้า วิตกกังวล
และความแปรปรวนของความประพฤติ
5. Adjustment disorder with mixed anxiety and depress mood อาการเด่นเป็นอาการร่วมกันของอารมณ์เศร้าและอาการวิตกกังวล
6. Adjustment disorder unspecified คือความผิดปกติต่างๆ
ซึ่งเป็นปฏิกิริยาในการปรับตัวที่ไม่เหมาะสมต่อ psychosocial
stressors ซึ่งมิได้จัดระบบไว้เป็น adjustment
disorder อย่างเฉพาะเจาะจง ไม่เข้ากับประเภทใดประเภทหนึ่งข้างต้น
มีอาการ บ่นถึงอาการเจ็บป่วย ทางร่างกาย แยกตัวจากสังคม ปฏิบัติงานหรือ
เรียนได้น้อยลง
ระยะการดำเนินโรค
- บางรายมีอาการเพียง 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์ แต่จะไม่นานเกิน 6 เดือน
- จากการติดตามผู้ป่วยที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น adjustment disorder ไป 3-4 ปี พบว่าร้อยละ 25 ที่กลับมาด้วยปัญหาเดิม และในกลุ่มนี้อาจเปลี่ยนแปลงการวินิจฉัยเป็นความผิดปกติอย่างอื่น เช่น personality disorder ร้อยละ 47 และ neurotic disorder ร้อยละ 25
- จากการติดตามผู้ป่วยที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น adjustment disorder ไป 3-4 ปี พบว่าร้อยละ 25 ที่กลับมาด้วยปัญหาเดิม และในกลุ่มนี้อาจเปลี่ยนแปลงการวินิจฉัยเป็นความผิดปกติอย่างอื่น เช่น personality disorder ร้อยละ 47 และ neurotic disorder ร้อยละ 25
การวินิจฉัย
A. มีอาการทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ภายใน 3 เดือน หลังจากเผชิญกับเรื่องเครียด
มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมตอบสนองตอบต่อภาวะความกดดันที่ปรากฏชัดเจน
(หนึ่งอย่างหรือมากกว่า) ภายใน 3 เดือน
นับแต่เริ่มต้นของภาวะความกดดัน
B. อาการทำให้เกิดผลข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้อ ต่อไปนี้
1. มีปฏิกิริยามากเกินไปต่อความเครียดนั้น
คือ อาการตึงเครียดมากเกินกว่าการตอบสนองต่อภาวะความกดดันตามปกติวิสัย
ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
2. มีความบกพร่องของสังคม
อาชีพ การศึกษา คือ หน้าที่การงาน การเรียน การเข้าสังคม
C. ความผิดปกติที่ตอบสนองต่อภาวะความกดดันไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยโรคทางจิตเวชใน Axis I อื่นๆ และไม่ใช่การเพิ่มขึ้นของความผิดปกติใน Axis I และ Axis II
C. ความผิดปกติที่ตอบสนองต่อภาวะความกดดันไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยโรคทางจิตเวชใน Axis I อื่นๆ และไม่ใช่การเพิ่มขึ้นของความผิดปกติใน Axis I และ Axis II
D. ไม่ใช่ bereavement (อาการไม่ใช่เป็นการตอบสนองทั่วไปต่อการสูญเสียบุคคลที่ตนรัก)
E. เมื่อสถานการณ์ที่ทำให้เครียดหมดไป อาการคงอยู่นานไม่เกิน 6 เดือน
Acute ถ้ามีอาการน้อยกว่า 6 เดือน
E. เมื่อสถานการณ์ที่ทำให้เครียดหมดไป อาการคงอยู่นานไม่เกิน 6 เดือน
Acute ถ้ามีอาการน้อยกว่า 6 เดือน
chronic ถ้าอาการเป็นมากกว่า 6 เดือน
การรักษา
เป้าหมายอันดับแรก :
ลดอาการของผู้ป่วยและช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างน้อยก็เท่าระดับเดิมก่อนที่จะเกิดปัญหา
เป้าหมายถัดไป : ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการต่อสู้ปัญหาของผู้ป่วย
รวมทั้งเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมถ้าสามารถทำได้
1. individual psychotherapy เป็น treatment
of choice สำหรับโรคนี้โดยค้นหาความหมายของ
stressor มีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในวัยเด็กอย่างไร ผู้ป่วยใช้กลไกการปรับตัวและแก้ไขปัญหาอย่างไร ต้องระวังเรื่อง secondary gain เพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบงานบางอย่าง
crisis intervention จิตบำบัดแบบสั้นเพื่อให้ผู้ป่วยหายโดยเร็ว โดยใช้เทคนิค supportive technique , suggestion , reassurance , environmental modification , hospitalization ต้องมี flexibility
2. กลุ่มบำบัด (group psychotherapy) ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเครียดเหมือน ๆ กัน เช่น กลุ่มผู้ป่วยที่ล้างไตเหมือนกัน กลุ่มผู้ป่วยที่เกษียณอายุราชการเหมือน ๆ กัน ทำให้มีการระบายความเครียด ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
3. ยา ตามอาการ เช่น ยาลดความวิตกกังวล ยาลดความซึมเศร้าในช่วงสั้น ๆ ก็จะทำให้ผู้ป่วย
คลายกังวลและ ปรับตัวได้เร็วขึ้น
stressor มีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในวัยเด็กอย่างไร ผู้ป่วยใช้กลไกการปรับตัวและแก้ไขปัญหาอย่างไร ต้องระวังเรื่อง secondary gain เพื่อให้ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบงานบางอย่าง
crisis intervention จิตบำบัดแบบสั้นเพื่อให้ผู้ป่วยหายโดยเร็ว โดยใช้เทคนิค supportive technique , suggestion , reassurance , environmental modification , hospitalization ต้องมี flexibility
2. กลุ่มบำบัด (group psychotherapy) ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเครียดเหมือน ๆ กัน เช่น กลุ่มผู้ป่วยที่ล้างไตเหมือนกัน กลุ่มผู้ป่วยที่เกษียณอายุราชการเหมือน ๆ กัน ทำให้มีการระบายความเครียด ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
3. ยา ตามอาการ เช่น ยาลดความวิตกกังวล ยาลดความซึมเศร้าในช่วงสั้น ๆ ก็จะทำให้ผู้ป่วย
คลายกังวลและ ปรับตัวได้เร็วขึ้น
วิธีการรักษาเน้นที่จิตบำบัดแบบประคับประคอง โดยอาศัยขบวนการเหล่านี้ คือ
1. หาสาเหตุของภาวะความกดดันให้ชัดเจน เข้าใจถึงผลที่เกิดขึ้น รวมทั้งวิธีการตอบสนองของผู้ป่วย
1. หาสาเหตุของภาวะความกดดันให้ชัดเจน เข้าใจถึงผลที่เกิดขึ้น รวมทั้งวิธีการตอบสนองของผู้ป่วย
2. ประเมินระดับความรุนแรงและระยะเวลาความผิดปกติที่เกิดขึ้น
3.หากพบความผิดปกติทางจิตเวชอื่นๆ
ที่เกิดขึ้นให้ทำการรักษา
4.ประเมินบุคลิกภาพทั้งหมดของผู้ป่วย
5. ให้ผู้ป่วยเข้าใจและสามารถระบายปัญหาภาวะความกดดันทางจิตใจออกมาได้
6.ให้คำแนะนำหรือกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีขึ้น
7. ส่งเสริม ให้กำลังใจ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญต่อภาวะความกดดันนั้นได้
8. อาจนำเอาขบวนการรักษาอย่างอื่นมาประกอบการช่วยเหลือ
เช่น
8.1 Family therapy ให้สมาชิกในครอบครัวร่วมกันแก้ไขปัญหา
8.2Behavior therapy
8.3 Self help groups ให้มีการทำกลุ่มบำบัดร่วมกันในกลุ่มที่มีปัญหาคล้ายกัน
9. กรณีผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า
วิตกกังวลสูง อาจพิจารณาให้ยาคลายกังวล หรือยาแก้เศร้า
ในระยะแรกเพื่อลดอาการที่เจ็บป่วย
ช่วยให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการปรับตัวที่ดีขึ้น
Dementia
โรคสมองเสื่อม (dementia) เป็นกลุ่มอาการซึ่งเกิดมาจากความผิดปกติในการทำงานของสมอง
มีการสูญเสียหน้าที่ของสมองหลายด้านพร้อม ๆ กัน แบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่เกิดขึ้นอย่างถาวร ส่งผลให้มีการเสื่อมของระบบความจำและการใช้ความคิดด้านต่าง
ๆ ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการแก้ไขปัญหาหรือการควบคุมตนเอง
มีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ พฤติกรรม และส่งผลกระทบต่อการทำงาน
รวมถึงการดำรงชีวิตประจำวัน
สาเหตุ
สาเหตุหลักของโรคนี้ คือ โรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และการสูบบุหรี่
ลักษณะอาการ
อาการที่สำคัญของโรคสมองเสื่อม มีดังนี้
ผู้ป่วยสมองเสื่อมในระยะแรกอาจมีอาการไม่มากนัก โดยเฉพาะอาการหลงลืม
และยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่จะทรุดหนักเมื่อเวลาผ่านไป
อาการดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาด้านพฤติกรรม
และอาการทางระบบประสาทอื่น ๆ ตามมา ซึ่งอาการที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยสมองเสื่อมมีดังนี้
- ความจำเสื่อม โดยเฉพาะความจำระยะสั้น หรือมีความบกพร่องในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมากเกินวัย เมื่อเทียบกับผู้ที่มีอายุใกล้เคียงกัน เช่น
การวางของแล้วลืม จำนัดหมายที่สำคัญไม่ได้ ลืมไปแล้วว่าเมื่อสักครู่พูดอะไร
ใครมาพบบ้างในวันนี้ และหากมีความรุนแรงมากขึ้นความจำในอดีตก็จะเสื่อมด้วย
- ไม่สามารถทำสิ่งที่เคยทำได้ เช่น ลืมไปว่าจะปรุงอาหารชนิดนี้ได้อย่างไร ทั้งที่เคยทำ
- มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น พูดไม่รู้เรื่อง พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เรียกชื่อคนหรือสิ่งของเพี้ยนไป ลำบากในการหาคำพูดที่ถูกต้อง ทำให้ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ
- มีปัญหาในการใช้ภาษา เช่น พูดไม่รู้เรื่อง พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เรียกชื่อคนหรือสิ่งของเพี้ยนไป ลำบากในการหาคำพูดที่ถูกต้อง ทำให้ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ
- มีปัญหาในการลำดับทิศทางและเวลา ทำให้เกิดการหลงทาง หรือกลับบ้านตัวเองไม่ถูก
- สติปัญญาด้อยลง การคิดเรื่องยาก ๆ หรือคิดแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้ มีการตัดสินใจผิดพลาด
- วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอาเตารีดไปวางในตู้เย็น เอานาฬิกาข้อมือใส่เหยือกน้ำ เป็นต้น
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว เช่น เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวก็สงบนิ่ง
- บุคลิกเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึมเศร้าหรืออาจจะมีบุคลิกที่กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ๆ อาจไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แม้แต่การอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ จึงต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา
- สติปัญญาด้อยลง การคิดเรื่องยาก ๆ หรือคิดแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้ มีการตัดสินใจผิดพลาด
- วางของผิดที่ผิดทาง เช่น เอาเตารีดไปวางในตู้เย็น เอานาฬิกาข้อมือใส่เหยือกน้ำ เป็นต้น
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายและรวดเร็ว เช่น เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวก็สงบนิ่ง
- บุคลิกเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม ซึมเศร้าหรืออาจจะมีบุคลิกที่กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ๆ อาจไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แม้แต่การอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ จึงต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา
ระยะการดำเนินโรค
ระยะเวลาการดำเนินของโรคอาจแตกต่างกันในแต่ละคน
โดยระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการ (ระดับอ่อน) จนเสียชีวิต (ระดับรุนแรง)
โดยเฉลี่ยจะประมาณ 8-10 ปี
การวินิจฉัยโรค
เมื่อมีอาการน่าสงสัยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการทดสอบภาวะของความจำหากผลตรวจน่าสงสัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อม
แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเช่น ตรวจร่างกายและเลือดทั่วไปเพื่อคัดแยกโรคต่าง
ๆที่เกิดขึ้นภายนอกสมองที่มีผลต่อความจำหรือทำให้สมองเสื่อมเมื่อแยกโรคทั่วไปออกแล้ว
แพทย์ก็จะทำการตรวจปัญหาที่เกิดขึ้นในสมองซึ่งจะต้องแยกโรคติดเชื้อเนื่องอกโพรงน้ำไขสันหลังขยายตัวเส้นเลือดตีบออกไปจากภาวะสมองเสื่อมหรือฝ่อการถ่ายภาพสมองโดยเครื่อง CT
MRI หรือ PET Scanก็จะทำให้สามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง
การรักษา
แพทย์จะพิจารณารูปแบบการรักษาให้กับผู้ป่วย
ซึ่งจะมี 2 รูปแบบ คือ การรักษาด้วยการใช้ยาและการรักษาโดยไม่ใช้ยา
เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมนั้น
มีทั้งที่เกิดจากสาเหตุที่รักษาได้และรักษาไม่ได้ หากวิเคราะห์แล้วว่าเกิดจากสาเหตุที่รักษาได้
ก็จะวินิจฉัยหาโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมและจะเริ่มการรักษาตามโรคที่ผู้ป่วยเป็น
แต่ถ้าสมองเสื่อมที่เกิดจากความเสื่อมของสมองเอง (Neurodegenerative) แพทย์ก็จะพิจารณารักษาอาการตามระดับความรุนแรง “ในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้
แพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่มาทำลายแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งผลโดยตรงกับความทรงจำ ยาดังกล่าวจะช่วยเพิ่มระดับของแอซิติลโคลีน
เป็นการรักษาตามอาการโดยการปรับระดับของสารสื่อประสาทให้มีมากขึ้นส่วนการรักษาที่ไม่ใช้ยานั้น
แบ่งเป็นสองส่วนด้วยกัน ได้แก่ การบริหารสมอง
และการดูแลผู้ป่วยอย่างถูกต้องและใกล้ชิด “การบริหารสมองแพทย์จะหากิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดหรือเกมส์ให้ผู้ป่วยเล่น
เช่น ให้เล่นเกมส์ Sudoku อ่านหนังสือ ควบคู่ไปกับการเน้นความสำคัญในเรื่องของการดูแลผู้ป่วย ซึ่งต้องมีการแนะนำการดูแลที่ถูกต้องอย่างใกล้ชิด
ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการดำเนินของโรค การจัดสิ่งแวดล้อม
ที่เหมาะสม และความปลอดภัยของผู้ป่วย รวมไปถึงให้การดูแลผู้ดูแลผู้ป่วยด้วย
เพื่อรักษาสภาพทางจิตใจและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วยผู้ดูแล และครอบครัว
Mental Retardatinon
ปัญญาอ่อน(Mental
Retardation) คือสภาวะที่เชาวน์ปัญญาต่ำกว่าปกติ
ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดหรือในวัยเด็ก ทำให้การเรียนรู้ การปรับตัวในสังคม ซึ่งหมายถึงการสามารถพึ่งตนเองและความสามารถรับผิดชอบต่อสังคมตามควรแก่วัยหรือตามที่สังคมของตนหวังไว้บกพร่องไป
รวมทั้งการพัฒนาทางบุคลิกภาพ ก็ไม่เจริญสมวัย
ทั้งมักพบความผิดปกติในอารมณ์ร่วมด้วย ความรุนแรงของโรคคิดตามระดับ IQ
สาเหตุ
1. ปัจจัยทางชีววิทยา
พบได้ร้อยละ ๒๐-๒๕ ของผู้ป่วยปัญญาอ่อน ที่พบบ่อยคือ
ความผิดปกติของโครโมโซมและเมตาบอลิส์ม ได้แก่ Down’s syndrome และ Phenylketonuria ในรายเหล่านี้มักจะวินิจฉัยได้ตั้งแต่เกิด
หรือตั้งแต่ยังเล็กมาก
ความรุนแรงของโรคจะอยู่ระหว่างปัญญาอ่อนขนาดปานกลางถึงขนาดรุนแรง และพบในคนทุกระดับเศรษฐกิจสังคม
ในแม่ที่ดื่มสุราจัดขณะตั้งครรภ์ทารกอาจปัญญาอ่อนได้
ปัจจัยทางชีววิทยาจำแนกเป็น
1.1 ความผิดปกติในโครโมโซม
เช่น Downs syndrome หรือ Mongolism,
Turners syndrome และ Klinefelter’s syndrome
1.2 การติดเชื้อหรือสภาวะเป็นพิษ
(intoxication) ในมารดา ได้แก่ โรค Rubella,
Toxoplasmosis, Syphilis, Cytomegalic inclusion body disease และ Toxemia
pregnancy (ภาวะครรภ์เป็นพิษ)
1.3 การติดเชื้อหรือสภาวะเป็นพิษในทารก
ได้แก่ การติดเชื้อชนิดต่างๆ ของสมองและเยื่อหุ้มสมอง Kernicterus และ Post-immunization
1.4 ความผิดปกติในเมตาบอลิสม์และโภชนาการ
ได้แก่ โรค Lipoidoses, Phenylketonuria, galactosemia,
Hypothyroidism (cretinism) และการขาดอาหาร
1.5 ความกระทบกระเทือนต่อสมองจากการคลอด
เช่น การกระทบกระเทือนจากเครื่องมือที่ช่วยการคลอด ภาวะขาดอ๊อกซิเจน (asphyxia)
1.6 ความบกพร่องของระบบประสาท
ได้แก่ Sturge-Weber syndrome, Tuberous sclerosis (epiloia),
Laurence-Moon-Biedle syndrome
1.7 ความบกพร่องของกระดูก
ได้แก่ Genetic microcephaly, Hypertelolism และ Oxycephaly
1.8 การคลอดก่อนกำหนด
(prematurity)
2. ปัจจัยทางจิต-สังคม (psychosocial
factor) หมายถึง พวกที่ไม่พบสาเหตุทางชีววิทยาชัดIจน IQ ของผู้ป่วยที่เกิดจากปัจจัยนี้จะต่ำไม่มาก
คือ อยู่ระหว่าง ๕๐-๗๐ และมักจะสังเกตได้เมื่อเข้าโรงเรียน
พบในพวกที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำมากกว่า และมีประวัติปัญญาอ่อนในครอบครัวด้วย
ปัจจัยนี้ประกอบด้วย
2.1 การขาดความสัมพันธ์กับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
(psychosocial or environmental deprivation) แบบต่างๆ
เช่น การขาดการสังคม ไม่ได้รับการสอน ไม่ได้ยินได้ฟัง
หรือขาดการกระตุ้นทางเชาวน์ปัญญา
2.2 หลังการเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง
3. เกิดจากทั้ง 2 ปัจจัยร่วมกัน เช่น
เกิดความผิดปกติทางชีววิทยาและขาดการกระตุ้นทางเชาวน์ปัญญาด้วย
ลักษณะอาการ
ผู้ป่วยพวกนี้จะมีความสามารถในการเรียนรู้ด้อยกว่าเด็กปกติ
พึ่งตนเองไม่ค่อยได้ รับผิดชอบต่อสังคมได้น้อยกว่าที่ควรจะทำได้ตามวัยของตน
และการเจริญทางบุคลิกภาพและอารมณ์ ไม่สมวัย
นอกจากนั้นยังมักพบปัญหาโรคจิต
โรคประสาทร่วมด้วย อาจมีปัญหาทางพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว temper
tantrum, stereotyped movement หรือ hyperactivity และบ่อยๆ ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทโดยเฉพาะในพวกที่เป็นรุนแรง เช่น
หูหนวกหรือ สายตาไม่ดี ชัก หรือ cerebral palsy ยิ่งกว่านั้นการพัฒนาทางร่างกายยังช้าด้วยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถทำอะไรได้ตามลำพัง
เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำและการช่วยเหลือในด้านการเงินอยู่เสมอ
ระยะการดำเนินโรค
โรคปัญญาอ่อนเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุของเด็ก
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งสมองได้พัฒนาเต็มที่ คือ อายุประมาณ 18 ปี
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยว่าเด็กพิการประเภทปัญญาอ่อนจะต้องมีหลักฐานปรากฎชัดเจน 3 ด้าน คือ
1. ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
คือมีเชาว์ปัญญาต่ำกว่า 70
2. ความสามารถทางทักษะในการปรับตัว
อย่างน้อย 2 ใน 10 ดังต่อไปนี้
- การสื่อความหมาย
- การสื่อความหมาย
- การดูแลตนเอง
- การดำรงชีวิตภายในบ้าน
- ทักษะทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- การรู้จักควบคุมตนเอง
- การรู้จักใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
- การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
- การทำงาน
- ด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย
3. อาการต้องปรากฎก่อนอายุ 18 ปี
การรักษา
1.ปัจจุบันนี้พบว่า
ถ้าสามารถค้นพบว่าเด็กเป็นปัญญาอ่อนได้เร็ว สามารถให้การกระตุ้นพัฒนาการได้เร็ว
จะช่วยให้เด็กมีระดับสติปัญญาดีขึ้นมากกว่าปล่อยไว้เฉยๆ
ผู้ที่สามารถตรวจพบได้เร็วคือ พ่อแม่ ซึ่งต้องคอยสังเกตพัฒนาการเด็กทุกด้าน
ในขวบปีแรก ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษากุมารแพทย์
หรือแพทย์ที่เป็นผู้นัดตรวจบุตรหลานของท่าน ในคลีนิคเด็กดีในขวบปีแรกนั่นเอง
2.การกระตุ้นพัฒนาการ ได้ผลดีมากในเด็กเล็ก
ควรให้การวินิจฉัยภายในขวบปีแรก เมื่อสังเกตเห็นเด็กมีพัฒนาการช้ากว่าเกณฑ์ปกติ
การตรวจในคลินิคเด็กดีในขวบปีแรก ทุก 2-4 เดือน
กุมารแพทย์จะประเมินพัฒนาการด้วยเสมอ เพื่อตรวจคัดกรองโรคปัญญาอ่อน
และรีบให้การช่วยเหลือโดยการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเป็นระบบ ถ้าไม่รีบช่วยเหลือ
พัฒนาการจะช้า แม้จะมากระตุ้นเมื่ออายุมากขึ้นมักจะได้ผลน้อย
3.การจัดการเรียนให้เหมาะสมกับสติปัญญาและความสามารถ
เด็กบางคนอาจเรียนร่วมได้ในโรงเรียนปกติ
บางคนอาจต้องเรียนในโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษ บางคนเหมาะสำหรับฝึกอาชีพ
แต่คนที่เป็นมากๆ บางคนต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือสถาบันฝึกสำหรับคนปัญญาอ่อนโดยตรง
-ไอคิว 50-70 - เรียนได้จบชั้นประถม 6
-ไอคิว 30-50 - ฝึกให้มีอาชีพเลี้ยงตัวเอง ช่วยตัวเอง ปกป้องตัวเองได้
แต่ไม่สามารถเรียนในระบบการเรียนปกติ
-ไอคิว 20-30 - ฝึกให้ช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถเรียนในระบบการเรียนปกติ
-ไอคิว ต่ำกว่า 20 - ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีผู้ดูแลพิเศษ หรืออยู่ในโรงพยาบาล
Psychophysiologic disorder
โรคจิตสรีระแปรปรวน (Psychophysiologic
Disorder) เป็นโรคจิตทางจิตใจที่มีผลให้เกิดการทำงานของอวัยวะบางอย่างแปรปรวนไป
สาเหตุ
เกิดมาจากความโกรธ
ความไม่พอใจ ความแค้นหรือความไม่เป็นมิตร ความตึงเครียดทางอารมณ์
และอาการจะกำเริบมากขึ้น
ลักษณะอาการ
1. อาการทางร่างกาย
ได้แก่ อาการที่เกิดขึ้นกับระบบหัวใจ
ระบบหายใจ กระเพาะ ลำไส้ ระบบขับถ่าย ระบบผิวหนังและระบบกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบต่างๆ
มีการทำงานผิดปกติไป เช่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว มือเย็นเท้าเย็น เหงื่อออก ผื่นคัน
ลมพิษ วิงเวียน รู้สึกร้อนหรือเย็น หน้าแดง มีก้อนจุกบริเวณคอ ท้องปั่นป่วน
ท้องเดิน รู้สึกไม่สบายในกระเพาะ มีการอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำใส้
ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก ประจำเดือนมาไม่ปกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ส่วนอาการทางกล้ามเนื้อ เช่น หนังตากระตุก สีหน้าเครียด สั่น อยู่ไม่สุข
สั่นทั้งตัว ผุดลุกผุดนั่ง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนแรง ผ่อนคลายไม่ได้ เป็นต้น
2. อาการทางจิตใจ
ได้แก่ มีความวิตกกังวล กลัว คิดกลับไปกลับมา
มีความหลังที่น่าสะพรึงกลัว มีความหวาดระแวง ซึมเศร้า ขาดสมาธิ ตื่นเต้น
กระวนกระวาย นอนไม่หลับ ขาดความอดทน เบื่อง่าย ท้อถอย เป็นต้น
3. อาการทางพฤติกรรม
ได้แก่ โมโหง่าย โกรธง่าย จู้จี้ขี้บ่น
ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นเสมอ ดึงผม กัดฟัน เก็บตัว สูบบุหรี่
ดื่มสุรามากขึ้น ใช้ยานอนหลับ ใช้สารเสพติด เป็นต้น
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยโดย การซักประวัติ ตรวจร่างกาย
และตรวจสภาพจิตโดยละเอียด
เพื่อให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาทางจิตใจและสังคม กับการเกิดอาการทางกาย
ตลอดจนลักษณะบุคลกิภาพของผู้ป่วยที่มีผลต่อการเจ็บป่วยและการรักษา
การรักษา
การรักษาทางจิตเวชที่ใช้ในโรคจิติสรีระแปรปรวน
ได้แก่
1.การทำจิตบำบัด (Psychotherapy)
2. Relaxation therapy
3. Biofeedback
4. Group & family therapy
Sexual Deviation
การเบี่ยงเบนทางเพศ (Sexual
Deviation) เป็น ความผิดปกติในคนที่มีความรู้สึกทางเพศ ทัศนคติ
ตลอดจนพฤติกรรมทางเพศที่แสดงออกไม่เหมาะสม แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคม
สาเหตุของโรค
โดยสาเหตุของความผิดปกติทางเพศมาจาก
1. ปัจจัยครอบครัว
การอบรมเลี้ยงดู ปลูกฝังความรู้หรือค่านิยมเรื่องเพศศึกษา ซึ่งมักมีค่านิยมผิดๆ
และคิดว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ถึงเวลาก็รู้เองจึงปล่อยปละละเลย
อีกทั้งผู้ปกครองยังเห็นว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องควรปกปิด ทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาขาดความรู้เรื่องธรรมชาติของกามารมณ์
แยกแยะไม่ได้ว่าพฤติกรรมทางเพศอย่างใดปกติ-ผิดปกติ
2. การแพร่กระจายของอารยธรรมตะวันตก
ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น จังหวะการเต้นรำที่กระตุ้นอารมณ์
แฟชั่นเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสม หรือการเห็นตัวอย่างผิดๆ ในวัยเด็ก เกิดเป็นบาดแผลทางใจ
3. โรคภัยไข้เจ็บและสุขภาพ
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากเพราะจะมีผลถึงบุคลิกภาพที่แสดงออกมาอย่างเหมาะสมในเรื่องพฤติกรรมทางเพศ
4. เหตุทางจิตใจ
อาจมีความผิดปกติทางจิตใจ
ลักษณะของโรค
ความผิดปกติทางเพศมีหลายชนิด แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะที่พบเห็นกันบ่อย
ๆ ในสังคม คือ
1. ลักเพศ (Transvestism) คือ ภาวะในคนที่มีความสุขความพอใจในเพศ
มีอารมณ์เพศจากการที่ได้แต่งตัวหรือแสดงท่าทางเป็นเพศตรงข้ามตนเอง เช่น
ชายที่แต่งตัวเป็นหญิง หรือหญิงแต่งตัวเป็นชาย
2. ปฏิเสธเพศ (Transsexualism) คือ ภาวะของคนที่ไม่ยอมรับเพศที่แท้จริงโดยกำเนิดของตน
และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต้องการผ่าตัดเปลี่ยนเพศของตนเอง
3. ชอบอวดอวัยวะเพศ ( Exhibitionism) คือ
ภาวะของคนที่ได้รับความตื่นเต้นพอใจทางเพศจากการได้เปิดอวัยวะของตนในที่สาธารณะ
มักพบในผู้ชายเกือบทั้งหมด มีลักษณะเฉพาะ คือ
จะอวดอวัยวะเพศกับเด็กหญิงหรือหญิงสาวที่ไร้เดียงสาทางเพศ ตามโรงเรียน หอพัก
หรือสวนสาธารณะ ท่าทางตื่นตกใจของเด็กหญิงหรือหญิงสาว
จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกตื่นเต้นทางเพศอย่างเต็มที่
พวกนี้จะไม่ทำร้ายเหยื่อของเขาเลย พอเหยื่อตกใจก็จะผละไปและมักกลับไปสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
4. ถ้ำมอง (Voyeurism) คือ ภาวะของคนที่ได้รับความสุข ความพอใจทางเพศจากการแอบดูร่างเปลือย
หรือการร่วมเพศของคนอื่น พบได้ทั้งหญิงและชาย แต่มักพบในผู้ชายมากกว่า
เมื่อได้ดูสมใจก็จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรงและมักจะสำเร็จ
ความใคร่ไปด้วยในขณะที่แอบดูหรือกลับไปสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองภายหลัง
การวินิจฉัย
การแพทย์จะวินิจฉัยและสังเกตด้วยการให้ความสนใจและพฤติกรรมทางเพศที่แปลกไปจากปกติ
การรักษา
การบำบัดรักษาภาวะบกพร่องทางเพศ
1.ยา
- ยาคลายเครียดคลายกังวล ยาต้านเศร้า
- ยารักษา E.D. เช่น Trazodone,
Sildenafil (Viagra), Apomorphine (Uprima Ixense) อมใต้ลิ้น
- ยารักษาภาวะหลั่งเร็ว เช่น ยาต้านเศร้า Thioridazine,
SS ครีม (ยาทาภายนอกสกัดจากสมุนไพรของเกาหลี มีตัวยา bufosteroid และ eugenol)
- ยารักษาภาวะเกลียดกลัวทางเพศ เช่น ยาต้านเศร้า
- ยาเพิ่มอารมณ์เพศ เช่น ยาฮอร์โมนเพศ หรือหลีกเลี่ยงฤทธิ์ยากดอารมณ์เพศ
เช่น ยาต้านเศร้าบางชนิด หรือให้ยาแก้ฤทธิ์ปีโรโตนินของยาต้านเศร้า เช่น Cyproheptadine
2.คู่เพศบำบัด (Dual-sex
therapy)
Learning disorder
เด็ก LD (Learning Disabilities)
หรือเด็กที่บกพร่องทางด้านการเรียนรู้ เป็นความบกพร่องทางด้านการเรียนรู้
แสดงออกมาในรูปของปัญหาด้านการอ่าน การเขียน การสะกดคำ
การคำนวณและเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ รศ. พญ. ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์
ผู้อำนวยการสถาบันสร้างสรรค์ศักยภาพสมองครีเอทีฟเบรน กล่าวว่า เด็ก LD หรือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้
เป็นเด็กที่มีวงจรการทำงานของสมองไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็นเซลล์สมองบางส่วนอยู่ผิดที่
ทำให้มีปัญหาในการเรียน เรียนอ่อนบางวิชา หรือหลายๆ วิชา ทั้งที่สติปัญญาปกติ
บางคนมีปัญหาในการอ่านทั้งที่มีสายตาหรือประสาทตาปกติ
แต่การแปลภาพในสมองไม่เหมือนคนทั่วไป ทำให้เห็นตัวหนังสือกลับหัวกลับหาง ลอยไป
ลอยมา ไม่คงที่ บางครั้งเห็นๆ หยุดๆ มองเห็นตัวหนังสือหายไปเป็นบรรทัด
บางครั้งเห็นตัวหนังสือแต่ไม่รู้ความหมาย บางคนมีปัญหาการฟัง ทั้งที่การได้ยินปกติ
แต่สมองไม่สามารถแยกแยะเสียงสูง- ต่ำ จึงมักเขียนสะกดผิด และไม่ทราบความหมายของคำ
บางคนมีปัญหาเรื่องทิศทาง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับภาษา ไม่รู้ว่าซ้ายหรือขวา
กะระยะทางไม่ถูก ทำให้เดินชนอยู่บ่อยๆ บางคนคำนวณไม่ได้
เพราะไม่เข้าใจสัญลักษณ์ตัวเลข ฯ
จากการวิจัยในประเทศไทยพบว่า
ปัจจุบันมีเด็กไทย โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-2กว่า 700,000 คน มีความบกพร่องทางการ
เรียนรู้ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ตามวัย ทั้งที่มีระดับสติปัญญา (IQ) ปกติหรือสูงกว่าปกติได้ในบางคน ซึ่งเป็นอาการของเด็ก LD
สาเหตุ
ศ. ดร. ผดุง
อารยะวิญญู อาจารย์ประจำภาควิชาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระบุว่า มีสาเหตุสำคัญ 3 ประการ ประการแรก คือ กรรมพันธุ์ เด็กบางคนอาจมีญาติผู้ใหญ่ที่ เป็น LD แต่สังคมในสมัยก่อนยังไม่รู้จัก LD ประการที่สอง
การที่เด็กคลอดก่อนกำหนด ทำให้เซลล์สมองผิด ปกติ และสุดท้ายคือ
สารเคมีเข้าสู่ร่างกายและสะสมในปริมาณที่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สารตะกั่วซึ่งมาจากอากาศและอาหารที่ปนเปื้อนสารเหล่านี้
นอกจากนี้ โรค LD ยังอาจมีสาเหตุมาจากเคยมีโรคติดเชื้อหรืออุบัติเหตุรุนแรงที่สมอง
เป็นโรคลมชัก โรค LD มักพบร่วมกับโรคสมาธิสั้น
โรคกระตุก (Tic Disorders) และกลุ่มที่มีความล่าช้าในภาษาและการพูด
โดยเฉพาะกับโรคสมาธิสั้น พบว่าเป็นร่วมกันถึง 30-40% คือ ในเด็กที่เป็น LDหรือสมาธิสั้น 10 คน จะมี 4 คน ที่จะเป็นทั้งสมาธิสั้นและ LD
ลักษณะอาการ
อาการของเด็ก LD จะมีมาตั้งแต่กำเนิด ทั้งที่มี IQ และร่างกายทุกส่วนปกติ
และจะปรากฎชัดเมื่อเข้าเรียน คือ เบื่อการอ่าน อ่านหนังสือตะกุกตะกักไม่สมกับวัย
เมื่อพ่อแม่ ครู ให้อ่านหรือทำการบ้าน ก็จะไม่ยอมอ่าน ทำให้สอบตก
ถึงขั้นต้องเรียนซ้ำชั้น โดยวิชาที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ คณิตศาสตร์
เนื่องจากอ่านไม่ออก จับความไม่ได้ ตีความโจทย์ไม่เป็น
ทั้งที่เมื่ออ่านให้ฟังก็สามารถตอบได้ถูก
อาการของ LD อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. มีปัญหาในการอ่านหนังสือ
(Dyslexia) อาจจะอ่านไม่ออก หรืออ่านได้บ้าง
แต่สะกดคำไม่ถูก ผสมคำไม่ได้ สลับตัวพยัญชนะ สับสนกับการผันสระc]t วรรณยุกต์ บางทีสนใจแต่การสะกดคำ ทำให้อ่านแล้วจับความไม่ได้
2. มีปัญหาในการเขียนหนังสือ
(Dysgraphia) ทั้งๆที่รู้ว่าจะเขียนอะไร
แต่ก็เขียนไม่ได้ หรือเขียนได้ช้า เขียนตกหล่น เขียนพยัญชนะสลับกัน หรือคำเดียวกันแต่เขียนสองครั้งไม่เหมือนกัน
บางคนเขียนแบบสลับซ้ายขวาเหมือนส่องกระจก ลายมือโย้เย้ ขนาดของตัวอักษรไม่เท่ากัน
ขึ้นลงไม่ตรงบรรทัด ไม่เว้นช่องไฟ อาจจะเกิดจากมือและสายตาทำงานไม่ประสานกัน
หรือการรับภาพของสมองไม่เหมือนคนอื่นๆ
3. มีปัญหาในการคำนวณ
(Dyscalculia) อาจจะคำนวณไม่ได้เลย
หรือทำได้แต่สับสนกับตัวเลข ไม่เข้าใจสัญลักษณ์ ไม่เข้าใจค่าของตัวเลข
บางคนสับสนตั้งแต่การจำเครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร ไม่สามารถจับหลักการได้ เช่น
หลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อยต่างกันอย่างไร บางคนบวกลบเป็น เข้าใจเครื่องหมาย
แต่ตีโจทย์คณิตศาสตร์ไม่ได้ เช่น ถามว่า 2+2 เท่ากับเท่าไร
ตอบได้ แต่ถ้าบอกว่ามีส้มอยู่ 2 ลูก ป้าให้มาอีก 2 ลูก รวมเป็นกี่ลูก เด็กกลุ่มนี้จะตอบไม่ได้
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยทางการแพทย์ของภาวะความบกพร่องในการเรียนรู้
(LD
: Learning Disability)
แม้เด็ก LD จะไม่สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนในเด็กต่ำกว่า 6 ขวบ แต่ก็สามารถค้นหากลุ่มเสี่ยงได้ตั้งแต่ชั้นอนุบาล
โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้มือไม่เก่ง งุ่มง่าม ซุกซน พูดช้า การทรงตัวไม่ดี
สับสนทิศทาง สับสนซ้ายขวา หรือเด็กที่อายุเกินชั้นป. 1 แล้วยังพูดไม่ชัด มีปัญหาเรื่องของการใช้ภาษา พูด อธิบายหรือเล่าอะไรไม่ได้
ประโยคไม่ปะติดปะต่อ ก็อาจจะมี LD ร่วมด้วย
และเมื่อถึงวัยประถมศึกษาที่ต้องแสดงความสามารถทางการเรียนแยกย่อยรายวิชา
อาการของโรค ก็จะแสดงให้เห็นเด่นชัดขึ้น
นอกจากนี้ ครู
ผู้ปกครองสามารถสังเกตได้ว่า เด็กมีอาการของโรค LD หรือไม่ ด้วยการดูจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเด็กที่มักจะไม่มีระเบียบในชีวิต
ขี้ลืม หาของไม่ค่อยเจอทั้งที่อยู่ใกล้ตัว เด็ก LD จะไม่ค่อยสนใจอ่าน เขียน และทำการบ้าน มีลายมือสูงๆ ต่ำๆ ผอมๆ อ้วนๆ
ปะปนกันในหนึ่งบรรทัด เขียนไม่เป็นระบบ ทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่รอบคอบ ผิดๆ
ถูกๆ
อย่างไรก็ตาม
ผู้ปกครองที่สงสัยว่าลูกเป็น LD สามารถพาลูกไปรับการทดสอบและรับการช่วยเหลือได้ที่
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร)
และโรงพยาบาลที่มีเครื่องทดสอบ เช่น โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นต้น
การรักษา
LD ถือเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้เด็ดขาด
แต่สามารถรักษาให้มีอาการดีขึ้นตามลำดับ การฝึกฝนอาจจะทำให้ทักษะการอ่าน เขียน
หรือคำนวณพัฒนาขึ้นมาได้บ้างเป็นบางส่วน แต่โดยธรรมชาติ วิธีการเรียนรู้ของเด็ก LD จะแตกต่างจากเด็กอื่นๆ เทคนิคที่ใช้จึงแตกต่างกันไป
ผู้ปกครองและครูจะต้องมีความเข้าใจถึงความแตกต่างและข้อจำกัดของเด็ก
ต้องสอนเด็กกลุ่มนี้เป็นพิเศษ อาจแยกวิชาที่เด็กอ่อน เช่น อ่อนการสะกดคำ
ก็แยกมาสอนเฉพาะเพื่อพัฒนาส่วนนั้น รวมทั้งช่วยฝึกฝนประสาทตาและมือให้เด็ก เพราะสองส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญในการใช้อ่านและเขียน
เมื่อสงสัยว่า เด็กเป็น LD ซึ่งถือว่าเป็นความพิการชนิดหนึ่งที่เด็กจะต้องได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์และการศึกษาตามกฎหมาย
ครูมีสิทธิที่จะส่งเด็กไปพบแพทย์ เมื่อตรวจพบ
แพทย์จะเป็นผู้ออกใบรับรองเพื่อให้เด็กได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งทั้งพ่อแม่ ครู
และแพทย์ต้องทำงานร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือเด็ก
ขั้นตอนต่อไปทางการศึกษานั้นคือ
ครูจะต้องจัดทำแผนการเรียนเฉพาะบุคคล (IEP – Individualized
Educational Program) สำหรับเด็ก
ทั้งนี้เพื่อให้เด็กได้รับการแก้ไขความบกพร่องในการเรียนรู้ได้ตรงเป้าหมายยิ่ง
ขึ้น นอกจากนี้ ครูอาจจะปรับกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นการฟัง การเห็น
การลงมือปฏิบัติมากกว่าจะเน้นการอ่าน หรือมีสื่อการศึกษาประเภทต่างๆ เข้ามาช่วย
เช่น เทปเสียง วิดีโอ คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ต่อไป
Asperger's Disorder
แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม (Asperger's Syndrome) เป็นความบกพร่องทางพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัว
เป็นความผิดปกติของพัฒนาการด้านสังคม และการสื่อสาร
จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับโรคออทิสติก (Autistic Disorder) โดยมักแสดงอาการออกมาให้เห็นตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 3ขวบ ขึ้นไป พ่อแม่อาจสังเกตพบว่า ลูกมีพฤติกรรมแปลกจากเด็กทั่วไป เช่น
ชอบเล่นของเล่นซ้ำ ๆ นั่งนิ่ง ๆ ไม่สบตา ชอบทำกิจกรรมเดิม ๆ ซ้ำๆ
ไม่ค่อยแสดงอารมณ์โต้ตอบ ไม่สามารถเรียนรู้ที่จะแสดงความรักได้หรือความพึงพอใจได้
ปัจจุบันโรคนี้กำลังเป็นโรคที่สังคมทางตะวันตกให้ความสนใจ
ในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะมีถึง 400,000 ครอบครัว
ที่มีคนในครอบครัวคนใดคนหนึ่ง
ที่เป็นกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์และเนื่องจากการที่มีการกล่าวถึงโรคเหล่านี้กันมากขึ้น
ทำให้มีการวินิจฉัยโรคเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้น แต่การวินิจฉัยโรคนี้ไม่มีวิธีการใดวิธีการหนึ่งโดยเฉพาะ
ส่วนใหญ่มีใช้การประเมินทักษะและพฤติกรรมของเด็กเท่านั้น
เด็กที่เป็นแอสเพอร์เกอร์นั้น
จะแตกต่างจากเด็กที่เป็นออทิสติค เพราะเด็กแอสเพอร์เกอร์ในช่วงแรก
มักจะมีการพัฒนาด้านภาษาได้ตามเกณฑ์อายุ มีความสามารถในการใช้รูปประโยคและคำศัพท์ต่างๆ
ในการพูดได้ค่อนข้างดีเป็นปกติ แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะเริ่มมีปัญหาในการใช้ภาษา
แต่เด็กแอสเพอร์เกอร์นั้นจะไม่สูญเสียความสามารถทางการพูด คือ พูดได้เหมือนคนปกติ
(ในขณะที่โรคใกล้เคียง คือ ออทิสติก เด็กจะมีปัญหาเรื่องการพูดมากกว่า
รวมทั้งอาการผิดปกติอย่างอื่นที่รุนแรงกว่าในอดีตจึงเข้าใจว่าแอสเพอร์เกอร์ ก็คือ
ออทิสติก แต่เป็นออทิสติกที่มีศักยภาพสูงกว่า) และนอกจากนี้ เด็กแอสเพอร์เกอร์
ยังมีความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง มีทักษะในบางเรื่องที่อาจจะดูดีกว่าเด็กอื่น
แต่สำหรับทักษะบางด้านอาจจะด้อยกว่า แต่โดยรวมแล้วเด็กเหล่านี้จะมีระดับสติปัญญาที่เป็นปกติหรืออาจจะดีกว่าปกติด้วยซ้ำ
โดยทั่วไปเด็กที่มีปัญหาในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์นี้
ส่วนใหญ่จะสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ แต่อาจจะมีปัญหาบ้าง
เมื่อต้องมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ โดยอาจมีพฤติกรรมการแสดงออก ที่ไม่สมกับวัย
ดูเด็กกว่าวัย หรือมีลักษณะแปลกๆ
ต่างจากเด็กคนอื่นๆ แต่เมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ก็ยังจะมีปัญหาในการเข้าสังคมกับผู้อื่น เช่น
อาจจะไม่ค่อยสนใจในความรู้สึกของผู้อื่น ไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจ
หรือมีอารมณ์ร่วมกับคนอื่นๆ ทำให้มีปัญหาในการปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
และคนรอบข้าง พบว่าปัญหาเหล่านี้ จะยังคงอยู่ไปตลอด แม้ว่าจะมีอายุมากขึ้น
และมีวุฒิภาวะมากขึ้น ตามวัยแล้วก็ตาม แต่อาการแสดงต่างๆ อาจจะมีมาก
หรือน้อยเป็นช่วงๆได้
สาเหตุ
โรคแอสเพอร์เกอร์
ซินโดรม เกิดจากการทำงานของสมองบางตำแหน่งผิดปกติ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าสาเหตุที่ทำให้สมองทำงานผิดปกติเป็นเพราะอะไร
แม้ว่าจะมีงานวิจัยออกมาหลายชิ้น แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ทั้งนี้
ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า น่าจะเกิดความบกพร่องของสารพันธุกรรม
ซึ่งความผิดปกติทางพันธุกรรมก็ยังบอกไม่ได้อีกเหมือนกันว่าเกิดจากการถ่ายทอดจากรุ่นต่อรุ่นค่อย
ๆ สะสมความผิดปกติมาจนแสดงออกในรุ่นหนึ่ง หรือว่าเป็นการกลายพันธุ์ของยีน
ซึ่งยังต้องศึกษาวิจัยอีกระยะหนึ่ง ขณะที่อีกความเชื่อหนึ่งก็คือ
น่าจะเกิดจากสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด
ลักษณะอาการ
ทางการแพทย์ระบุว่าเด็กที่เป็นโรคแอสเพอร์เกอร์
ซินโดรม จะเริ่มแสดงอาการออกมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ
แต่อาการจะมาเด่นชัดเมื่ออายุระหว่าง 5-9 ขวบ
ซึ่งโรคนี้ไม่ได้แสดงออกกับรูปร่าง หน้าตา แต่จะแสดงออกมาให้เห็นจากพฤติกรรม
ซึ่งจำแนกออกเป็น 3 ด้าน คือ
1. ด้านภาษา
- เด็กที่ป่วยโรคนี้สามารถใช้ภาษาสื่อสารกับคนได้รู้เรื่องเหมือนเด็กปกติ
แต่จะมีปัญหาไม่เข้าใจกับเรื่องที่จะพูด โดยเฉพาะคำพูดที่กำกวม มุกตลก
คำเปรียบเปรย คำประชดประชัน เสียดสี เขาจะไม่เข้าใจ
- มักจะพูดเรื่องของตัวเองมากกว่าเรื่องอื่น
ๆ ชอบพูดเรื่องซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ ด้วยคำพูดเหมือนเดิม
- มีปัญหาเมื่อต้องใช้ทักษะการอ่าน
คณิตศาสตร์ หรือการเขียน
- ไม่รู้จักการทักทาย
อยากถามอะไรก็จะโพล่งออกมาเลย จะถามเรื่องที่สนใจโดยไม่เสียเวลา และไม่มีเกริ่นนำ
ที่มาที่ไป
2. ด้านสังคม
- ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ไม่สนใจบุคคลรอบข้าง
- เข้ากับเด็กอื่น
หรือคนอื่นไม่ค่อยได้
- มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับคนอื่นอย่างไม่เหมาะสมกับวัย
ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่มีมารยาท
- เวลาพูดคุยจะไม่ค่อยมองหน้า
ไม่ยอมสบตา
- ไม่แสดงความอยากเข้าร่วมสนุก
ร่วมทำสิ่งที่สนใจ หรือร่วมงานให้เกิดความสำเร็จกับคนอื่น ๆ
- ไม่มีอารมณ์หรือสัมพันธภาพตอบสนองกับสังคม
- บางรายมีพฤติกรรมสุดโต่ง
และมีความอ่อนไหวมาก
3. ด้านพฤติกรรม
- ชอบทำอะไรซ้ำ
ๆ หมกมุ่น สนใจมากกับเรื่องที่เขาชอบ โดยเฉพาะกับเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน
อย่างเช่น แผนที่โลก วงจรไฟฟ้า ยี่ห้อรถยนต์ โลโก้สินค้า ดนตรีคลาสสิก ไดโนเสาร์
ระบบสุริยจักรวาล ธงชาติประเทศต่าง ๆ เป็นต้น
ซึ่งหากเด็กกลุ่มนี้สนใจในเรื่องใดแล้วจะรู้ลึก รู้จริง และมีความสามารถสูงมาก
- เปลี่ยนความสนใจได้ง่าย
ในบางรายมีความไวต่อสิ่งเร้าที่มาจากภายนอกค่อนข้างมากกว่าคนทั่วไป สมาธิสั้น
- ท่วงท่าการเดิน
การเคลื่อนไหวของร่างกายดูงุ่มง่าม หรือไม่คล่องตัว
- อาจพูดหรือมีพฤติกรรมบางอย่างไม่เหมาะสม
เช่น กินข้าวร้านนี้แล้วมันไม่อร่อย เวลาเดินผ่านเด็กที่เป็นโรคนี้ก็อาจจะพูดดัง ๆ
ขึ้นมาตรงนั้นเลยว่า "ข้าวร้านนี้ไม่อร่อย"
การวินิจฉัยโรค
นพ.ทวีศักดิ์
สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต
ผู้ซึ่งใกล้ชิดผู้ป่วยโรคแอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม ให้ข้อมูลว่า
ตามคู่มือการวินิจฉัยโรค DSM-IV โดยสมาคมจิตแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา
(The American Psychiatric Association's Diagnostic and Statistic Manual
of Mental Disorder - Forth Edition, 1994) ได้จัดหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคแอสเพอร์เกอร์
ไว้ดังนี้
1. มีคุณลักษณะในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ผิดปกติ
โดยแสดงออกอย่างน้อย 2 ข้อต่อไปนี้
1.1 บกพร่องอย่างชัดเจนในการใช้ท่าทางหลายอย่าง
(เช่น การสบตา การแสดงสีหน้า กิริยา หรือท่าทางประกอบการเข้าสังคม)
1.2 ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนในระดับที่เหมาะสมกับอายุได้
1.3 ไม่แสดงความอยากเข้าร่วมสนุก
ร่วมทำสิ่งที่สนใจ หรือร่วมงานให้เกิดความสำเร็จกับคนอื่น ๆ (เช่น ไม่แสดงออก
ไม่เสนอความเห็น หรือไม่ชี้ว่าตนสนใจอะไร)
1.4 ไม่มีอารมณ์
หรือสัมพันธภาพตอบสนองกับสังคม
2. มีพฤติกรรม ความสนใจ
หรือกิจกรรมที่จำกัด ซ้ำ ๆ เป็นแบบแผน โดยแสดงออกอย่างน้อย1 ข้อ ต่อไปนี้
2.1 หมกมุ่นกับพฤติกรรมซ้ำ
ๆ (Stereotyped) ตั้งแต่ 1 อย่างขึ้นไป และความสนใจในสิ่งต่าง ๆ มีจำกัด
ซึ่งเป็นภาวะที่ผิดปกติทั้งในแง่ของความรุนแรงหรือสิ่งที่สนใจ
2.2 ติดกับกิจวัตร
หรือย้ำทำกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีประโยชน์โดยไม่ยืดหยุ่น
2.3 ทำกิริยาซ้ำ ๆ
(Mannerism) (เช่น เล่นสะบัดมือ หมุน โยกตัว)
2.4 สนใจหมกมุ่นกับเพียงบางส่วนของวัตถุ
3. ความผิดปกตินี้ก่อให้กิจกรรมด้านสังคม
การงาน หรือด้านอื่น ๆ ที่สำคัญ บกพร่องอย่างมีความสำคัญทางการแพทย์
4. ไม่พบพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้า
อย่างมีความสำคัญทางการแพทย์
5. ไม่พบพัฒนาการทางความคิดที่ช้าอย่างมีความสำคัญทางการแพทย์
หรือมีความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง พฤติกรรมการปรับตัว
และมีความอยากรู้เห็นในสิ่งรอบตัวในช่วงวัยเด็ก
6. ความผิดปกติไม่เข้ากับ พีดีดี
ความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้านชนิดเฉพาะอื่น หรือโรคจิตเภท (Schizophrenia)
การรักษา
โรคนี้เกิดจากอะไรนั้นยังไม่ทราบสาเหตุ
จึงยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะเจาะจงเพื่อให้หายขาดได้
แต่สามารถทำได้โดยบำบัดตามอาการ ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้โรคนี้มีอาการน้อยลงได้
โดยเฉพาะในเรื่องทักษะการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน พัฒนาการทางสังคม
หากฝึกฝนอย่างต่อเนื่องก็จะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ช่วยให้เด็กเรียนรู้
และใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคมได้ตามปกติ โดยใช้แนวทางเดียวกับการดูแลรักษาผู้ที่เป็นออทิสติก
เน้นแก้ไขในด้านที่เป็นปัญหาควบคู่ไปกับการส่งเสริมในด้านที่เป็นความสามารถของเด็กเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องการพูดจาไม่เหมาะสม
บุคลิกภาพ การเข้ากับเพื่อนนั้นอาจยังเป็นปัญหาที่หลงเหลืออยู่เมื่อเด็กเติบโตขึ้น
ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าสถานที่ที่เขาไปอยู่นั้นเป็นอย่างไร
ยอมรับในตัวเขาหรือไม่ หากได้รับการยอมรับและคนรอบข้างเข้าใจก็อาจไม่มีปัญหา
Alcohol - Related Disorders
พิษสุราเรื้อรัง Alcoholism ผู้ป่วยที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรังและเกิดอาการลงแดงเมื่อหยุดสุราก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นโรค
ต้องอาศัย เพื่อนร่วมงาน
และครอบครัวสังเกตอาการและส่งผู้ป่วยเข้ารักษาตั้งแต่เริ่มต้นเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังเป็นโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆจนกระทั่งเกิดอาการทางประสาทและทางร่างกาย
แอลกอฮอล์จะมีผลต่อทุกเซลล์ของร่างกายโดยเฉพาะระบบประสาทเมื่อได้รับแอลกอฮอล์เป็นประจำ
สมองจะปรับตัวต้องการแอลกอฮอล์เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การทำงาน ความคิด
อารมณ์ และการกระทำทั้งหมดขึ้นกับแอลกอฮอล์
ยังไม่มีการแยกที่เด่นชัดระหว่างติดสุราและพิษสุราเรื้อรังแต่อาการเตือนว่าจะเป็นพิษสุราเรื้อรังได้แกเมื่อหยุดสุราจะมีอาการไม่มีความสุข
ผู้ที่เป็นพิษสุราเรื้อรังจะดื่มสุราโดยไม่จำกัด ดื่มได้ตลอดเวลา
มักจะปฏิเสธว่าไม่ติดสุรา ดื่มทั้งๆที่รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี
หลังจากดื่มไปได้ระยะหนึ่งผู้ป่วยจะเริ่มดื้อต่อแอลกอฮอล์จะต้องปริมาณสุรา
ผู้ป่วยมักจะมีอาการเมาค้างทำให้ไปทำงานไม่ทัน ผู้ป่วยมักจะมีประวัติดื่มสุราตั้งแต่เช้า
และมักชอบใช้ความรุนแรงกับครอบครัว
สาเหตุ
เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่ของสารสื่อประสาทต่าง
ๆ ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่
ระบบแรกทำหน้าที่ยับยั้ง ซึ่งพบว่ามีการทำงานลดลง โดยมี gamma-amino-butyric
acid (GABA) และ alpha -2- adrenergic receptor
activity ลดลง
ส่วนระบบที่สองซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นนั้นพบว่ามีการทำงานเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนที่สำคัญ
คือ มี N-methyl-D-aspartateactivity เพิ่มขึ้นจากการลดลงของ magnesium ทำให้เกิดภาวะ hyperexcit-ability นอกจากนี้
ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่นติดตามมา เช่นมี catecholamine และ corticotropin หลั่งออกมามาก ภาวะ hyperexcitability นี้ยังอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในระดับ cell
membrane โดยพบว่าในผู้ป่วย โรคพิษสุรา จะมีปริมาณของcalcium
channel เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ลักษณะอาการของผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
อาการหลังจากหยุดสุรา
เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากหยุดเหล้าในทันที
บางรายอาจจะมีอาการน้อยแค่ตัวสั่นหรือเหงื่อออก
ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรังอาจจะมีอาการได้สองอย่างคือ ลงแดงwithdrawal
stage และ delirium tremens ซึ่งเป็นอาการที่หนัก
ผู้ป่วยจะเกิดอาการลงแดงหลังจากหยุดสุรา 12-72
ชั่วโมงซึ่งจะมีอาการดังต่อไปนี้
- หงุดหงิด
- รู้สึกตัวสั่น
- วิตกกังวล
- โมโหง่าย
- อารมณ์แปรปรวน
- ซึมเศร้า
- อ่อนเพลีย
- คิดอะไรไม่ออก
- ใจสั่น
- ปวดศีรษะตุบ
- เหงื่ออกหน้าและมือ
- คลื่นไส้อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- นอนไม่หลับ
- ดูซีด
- มือสั่น
- ใจเต้นเร็ว
อาการที่เกิดจากการอดสุราซึ่งผู้ป่วยจะมีกลุ่มอาการ
3 กลุ่มดังนี้
- กลุ่มอาการลงแดง withdrawal
stage
- มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ
- มีการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์อย่างรวดเร็ว
- กระสับกระส่าย
- หงุดหงิด
- สับสน
- มีภาพหลอน เห็นหนอน งู
แมลง
- ไวต่อแสง เสียง
- ระดับความรู้สึกเลวลง
เช่นซึมลง
- มีอาการชักกระตุก
มักจะเกิดหลังจากอดเหล้า 24-48 ชั่วโมง
- มือสั่น ตัวสั่น
ระยะการดำเนินโรค
โรคนี้เกิดขึ้นในผู้ที่หยุดดื่มหรือลดการดื่มสุราลงกระทันหัน
หลังจากที่ดื่มติดต่อกันมานาน เป็นระยะเวลาหนึ่ง
อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้หลังจากดื่มวิสกี้ปริมาณ 16 ออนซ์ หรือ 2/3 ขวดต่อวันติดต่อกันเป็นเวลานาน 14-21 วัน
การวินิจฉัย
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยทำได้ค่อนข้างยากโดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุเนื่องจากความจำก็ไม่ดี
สับสน และหกล้ม อาการต่างๆ เหล่านี้ก็สามารถพบได้ในคนแก่
เมื่อมีผู้ป่วยที่มีประวัติดื่มสุราและสงสัยว่าจะเป็นพิษสุราเรื้อรัง
การเจาะเลือดตรวจไม่ช่วยในการวินิจฉัยต้องอาศัยการซักประวัติซึ่งมีคำถามง่ายๆที่ควรจะถามผู้ป่วยดังนี้
- ปริมาณที่ดื่ม
- ความถี่ในการดื่ม
- ดื่มทันที่หลังตื่นนอนหรือไม่
- เคยพยายามที่จะอดสุราหรือไม่
- โกรธเมื่อมีคนวิจารณ์เรื่องดื่มสุรา
- มีความรู้สึกผิดหรือไม่
- มีอาการลงแดงเมื่ออดสุราหรือไม่
การรักษา
เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการจากการหยุดสุราและอาการไม่มาก
เช่นมีอาการวุ่นวาย นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร
บางรายอาจมีอาการชักช่วงสั้นจะต้องตรวจหาว่าได้รับบาดเจ็บทางร่างกายที่ไหนบ้าง
และจะต้องตรวจหาโรคที่เกิดจากสุรา เช่นตับ หัวใจ
จะต้องให้ผู้ป่วยสงบอย่างรวดเร็วโดยการให้ยาคลายเครียดกลุ่ม
benzodiazepine และวิตามิน
บีหลังจากนั้นสังเกตอาการอย่างน้อย 2 ชั่วโมงและหลังจากสังเกตอาการ
ผู้อาการไม่เปลี่ยนแปลงก็สามารถกลับบ้านได้โดยได้รับยาไปรับประทานต่อ
4-5 วันแล้วไปพบแพทย์ตามนัด
Panic Disorder and Agoraphobia
โรคแพนิค และ agoraphobia โรคนี้มักพบในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและสามารถเกิดร่วมกับโรคอื่นได้ เช่น
โรคซึมเศร้า สาเหตุของโรคนี้เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ (automatic nervous
system)ทำงานผิดปกติไป
เนื่องจากระบบประสาทอัตโนมัติควบคุมการทำงานของร่างกายในหลายส่วน อาการที่เกิดขึ้นจึงเกิดหลายอย่างพร้อมกันทั้งการเต้นของหัวใจ
การหายใจ การออกของเหงื่อ ฯลฯ
การทำงานของระบบดังกล่าวต้องอาศัยสารเคมีในสมองเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงาน
สาเหตุ
1. ปัจจัยด้านจิตใจ
ทฤษฎี cognitive behavioral เชื่อว่า
ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการเลียนแบบมากจากพ่อแม่ที่มีอาการเหมือนกับผู้ป่วย
หรือจาก classical conditioning เชื่อว่าโรคแพนิค
และ agoraphobiaเกิดจากการที่ผู้ป่วยเคยมี panic
attack ในขณะที่มีสิ่งกระตุ้นบางอย่าง
หรืออยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง ก็จะทำให้ผู้ป่วยกลัวว่าจะเกิด panic
attack ขึ้นเมื่อเจอสิ่งกระตุ้นนั้น หรือสถานที่นั้นซ้ำอีก
2. ปัจจัยด้านชีวภาพ
1) Peripheral
and central nervous system จากการศึกษาในผู้ป่วยโรคแพนิค
พบว่าautonomic nervous system ของผู้ป่วยกลุ่มนี้มี sympathetic
tone เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อถูกกระตุ้นด้วยstimuli ต่างๆ
2) Neurotransmitters ตัวที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ norepinephrine โดยเฉพาะที่บริเวณ locus
ceruleus, serotonin ที่บริเวณ median raphe
nucleus และ gamma-aminobutyric acid (GABA)
3) Panic
inducing substances พบว่ามีสารหลายชนิดที่เมื่อให้กับผู้ป่วยโรคแพนิคแล้วจะเหนี่ยวนำให้เกิด panic
attack ได้ง่ายขึ้น เช่น carbondioxide เข้มข้น 5-35 %, sodium lactate, bicarbonate, alpha-2 adrenergic receptor antagonist (yohimbin), serotonin
releasing agent (fenfluramine) และ caffeine เป็นต้น
ลักษณะอาการ
ผู้ที่เป็นโรคแพนิค (panic
disorder) จะมีอาการของ panic attack เกิดขึ้นซ้ำบ่อยๆ และเกิดเองโดยที่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น เป็นแบบ paroxysmal และผู้ป่วยจะรู้สึกกังวลว่าอาการเหล่านั้นจะเป็นขึ้นมาอีก
หรืออาจกลัวผลซึ่งเกิดตามมาจากการมีอาการ เช่น กลัวว่าจะคุมตัวเองไม่ได้
กลัวจะเป็นโรคหัวใจ กลัวว่าจะเป็นบ้า
หรือในบางคนอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปซึ่งเกิดจากอาการดังกล่าว
จนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
ลักษณะอาการต่างๆ ดังนี้
1. มี panic
attack ได้แก่ แน่นหน้าอก ใจสั่น กลัว หายใจไม่ออก เวียนศีรษะ
จุกแน่นท้อง มือเท้าเย็นชา รู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้
เหมือนตัวเองกำลังจะตายหรือจะเป็นบ้า จะเริ่มเป็นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
โดยถึงจุดสูงสุดภายใน 10 นาที
แล้วความรุนแรงจะค่อยๆ ลดลงจนหายไปใน 60นาที
2. เกิดอาการบ่อยๆหรือเป็นเพียง 1 ครั้ง ก็ทำให้ผู้ป่วยมีความกลัวว่าจะเป็นซ้ำ
3. ไม่สามารถคาดล่วงหน้าว่าจะเกิดอาการขึ้นเมื่อใด
4. อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากยา
สารต่างๆ โรค หรือสาเหตุทางกายอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการ ได้
อาการ panic นั้นคล้ายอาการของโรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจ โรคทางเดินอาหาร
หรือโรคของระบบประสาทการทรงตัวอย่างมาก
เนื่องจากพบว่ามีการเชื่อมโยงระหว่างศูนย์ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติกับระบบอวัยวะดังกล่าว
การดำเนินโรค
ระยะที่ 1: limited symptoms
attacks อาการยังเป็นไม่มาก ไม่ครบเกณฑ์ของ panic
disorder
ระยะที่ 2: panic
disorder มีอาการต่างๆเข้าเกณฑ์การวินิจฉัย
ระยะที่ 3:
hypochondriasis เชื่อว่าตนมีโรคร้ายแรงบางอย่างแต่แพทย์ตรวจไม่พบ
เช่นโรคปอด โรคหัวใจ หรืออัมพาต ทำให้ไม่ทำงานตามปกติ
และมักเวียนไปให้แพทย์ตรวจยืนยัน
ระยะที่ 4: limited phobic
avoidance เริ่มกลัวและหลีกเลี่ยงต่อสถานที่หรือ
สถานการณ์ซึ่งผู้ป่วยรู้สึกว่า อาจทำให้เกิด panicได้
เช่น agoraphobia คือไม่กล้าไปไหนคนเดียวอาจทำให้ผู้ป่วยไม่อาจไปทำงานหรือดำเนินชีวิตประจำวันได้
ระยะที่ 5: extensive phobic
avoidance มีความกลัวและหลีกเลี่ยงมากขึ้น
ระยะที่ 6: secondary
depression เป็นเพียงอารมณ์หรือระดับเป็น major
depression อันเป็นผลจากการเป็น panic
disorder มานานแต่ผู้ป่วยไม่ทราบสาเหตุ ไม่หาย
ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ทั้งที่ร่างกายแข็งแรง ผิดหวังและละอายกับตนเองและครอบครัว
บางรายอาจ หันไปใช้ยาเสพติดหรือดื่มสุราหรือบางรายพยายามฆ่าตัวตาย
การวินิจฉัย
1. โรคทางกาย ควรวินิจฉัยแยกจากโรคทางกาย
2. โรคทางจิตเวช โรคจิตเวชอื่นๆ
ที่อาจมีอาการคล้าย panic attack ได้ เช่น phobia ชนิดต่างๆ ผู้ป่วยมักจะมีอาการกลัว
หรืออาจมีอาการแพนิคได้เมื่อเผชิญกับสิ่งที่ตนกลัว ใน posttraumatic
stress disorder ผู้ป่วยมีอาการแพนิคได้แต่มักมีอาการหลังจากที่เผชิญต่อเหตุการณ์ที่รุนแรงและคุกคามต่อชีวิตนอกจากนี้อาการแพนิคยังสามารถพบในโรคทางจิตเวชอื่นได้อีก
เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิต , depersonalization disorder และ somatoform disorder เป็นต้น
การรักษา
การรักษาได้ผลค่อนข้างดี
โดยเฉพาะการรักษาด้วยยา และ cognitive behavioral therapy
ยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม selective
serotonin reuptake inhibitor (SSRI) พบว่าได้ผลดีในการรักษาโรคแพนิค
ปัจจุบันนิยมใช้ยากลุ่ม SSRI เป็นยาขนานแรกโดยให้ fluoxetine เริ่มต้นที่ขนาด 10 มก./วัน เพิ่มได้ถึง 20-40 มก./วัน กินมื้อเช้าหลังอาหาร
ยาแก้ซึมเศร้ากลุ่ม tricyclic ที่นิยมใช้คือ imipramine โดยเริ่มขนาด 25 มก. ประมาณ 1สัปดาห์แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขนาดยา 25 มก./สัปดาห์
เพราะหากเพิ่มยาเร็วไปในช่วงแรกผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการมากขึ้นและทนฤทธิ์ข้างเคียงของยาไม่ได้
ขนาดโดยทั่วไปจะประมาณ 50-75 มก.
ในทางปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่จะให้ยาแก้ซึมเศร้าร่วมกับ benzodiazepine ไปพร้อมกันตั้งแต่แรก จน 4-6 สัปดาห์ต่อมาเมื่อควบคุมอาการได้ดีและยาแก้ซึมเศร้าออกฤทธิ์เต็มที่
แล้วจึงค่อยๆ ลดbenzodiazepine ลง
เหลือยาแก้ซึมเศร้าเพียงขนานเดียวไว้ควบคุมอาการ
เมื่อผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาแล้วให้คงยาต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 12 เดือน แล้วจึงลองลดยาลงโดยใช้เวลา 2-6 เดือน
หากไม่มีอาการระหว่างนี้ก็ให้หยุดยาได้
การรักษาอื่นๆ นอกจากนี้
ยังมีการฝึกการผ่อนคลาย การฝึกหายใจเมื่อเกิด hyperventilationและการใช้เทคนิคต่างๆ ของพฤติกรรมบำบัด สำหรับอาการ agoraphobia การรักษาที่ได้ผลดี ได้แก่exposure in vivo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น