วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

แนวความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลิกภาพ
  

1. แนวความคิดตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ซักมัน ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
ทฤษฎีของฟรอยด์อาจจะกล่าวหลักโดยย่อดังต่อไปนี้

ฟรอยด์ (Freud, 1856-1939) เป็นชาวออสเตรีย เป็นคนแรกที่เห็นความสำคัญของพัฒนาการในวัยเด็ก ถือว่าเป็นรากฐานของ พัฒนาการของบุคลิกภาพ ตอนวัยผู้ใหญ่ สนับสนุนคำกล่าวของนักกวี Wordsworth ที่ว่า "The child is father of the man” และมีความเชื่อว่า 5 ปีแรกของชีวิตมีความสำคัญมาก เป็นระยะวิกฤติของพัฒนาการ ของชีวิตบุคลิกภาพของผู้ใหญ่ มักจะเป็นผลรวมของ 5 ปีแรก ฟรอยด์เชื่อว่า บุคลิกภาพของผู้ใหญ่ ที่แตกต่างกัน ก็เนื่องจากประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อเวลาอยู่ในวัยเด็ก และขึ้นอยู่กับว่าเด็กแต่ละคน แก้ปัญหาของความขัดแย้งของแต่ละวัยอย่างไร ทฤษฎีของฟรอยด์มีอิทธิพลทางการ รักษาคนไข้โรคจิต วิธีการนี้เรียกว่า จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) โดยให้คนไข้ระบายปัญหาให้จิตแพทย์ฟัง
ฟรอยด์ได้แบ่งจิตของมนุษย์ออกเป็น 3 ระดับ คือ
เนื่องจากระดับจิตสำนึก เป็นระดับที่ผู้แสดงพฤติกรรมทราบ และรู้ตัว ส่วนเนื้อหาของระดับ จิตก่อนสำนึก เป็นสิ่งที่จะดึงขึ้นมา อยู่ในระดับจิตสำนึก ได้ง่าย ถ้าหากมีความจำเป็นหรือต้องการ ระดับจิตไร้สำนึกเป็นระดับที่อยู่ในส่วนลึกภายในจิตใจ จะดึงขึ้นมาถึงระดับจิตสำนึกได้ยาก แต่สิ่งที่อยู่ในระดับไร้สำนึก ก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ฟรอยด์เป็นคนแรก ที่ได้ให้ความคิดเกี่ยวกับแรงผลักดันไร้สำนึก (Unconscious drive) หรือแรงจูงใจไร้สำนึก (Unconscious motivation) ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของพฤติกรรม และมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพของมนุษย์
ฟรอยด์กล่าวว่า มนุษย์เรามีสัญชาติญาณติดตัวมาแต่กำเนิด และได้แบ่งสัญชาติญาณออกเป็น 2 ชนิดคือ
1) สัญชาติญาณเพื่อการดำรงชีวิต (Life instinct)
สัญชาตญาณบางอย่าง จะถูกเก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึก ฟรอยด์ได้อธิบายเกี่ยวกับสัญชาตญาณ เพื่อการดำรงชีวิตไว้อย่างละเอียด ได้ตั้งสมมติฐานว่า มนุษย์เรามีพลังงานอยู่ในตัวตั้งแต่เกิด เรียกพลังงานนี้ว่า "Libido” เป็นพลังงานที่ทำให้คนเราอยากมีชีวิตอยู่ อยากสร้างสรรค์ และอยากจะมีความรัก มีแรงขับทางด้านเพศ หรือกามารมณ์ (Sex) เพื่อจุดเป้าหมาย คือความสุขและความพึงพอใจ (Pleasure) โดยมีส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึก และได้เรียกส่วนนี้ว่า อีโรจีเนียสโซน (Erogenous Zones) แบ่งออกเป็นส่วนต่างดังนี้

2) ขั้นทวารหนัก (18 เดือน – 3 ปี) ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กวัยนี้ได้รับความพึงพอใจทางทวารหนัก คือ จากการขับถ่ายอุจจาระ และในระยะซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง และความคับข้องใจของเด็กวัยนี้ เพราะพ่อแม่มักจะหัดให้เด็กใช้กระโถน และต้องขับถ่ายเป็นเวลา เนื่องจากเจ้าของความต้องการของผู้ฝึก และความต้องการของเด็ก เกี่ยวกับการขับถ่ายไม่ตรงกันของเด็ก คือความอยากที่จะถ่ายเมื่อไรก็ควรจะทำได้ เด็กอยากจะขับถ่ายเวลาที่มีความต้องการ กับการที่พ่อแม่หัดให้ขับถ่ายเป็นเวลา บางทีเกิดความขัดแย้งมาก อาจจะทำให้เกิด Fixation และทำให้เกิดมีบุคลิกภาพนี้เรียกว่า "Anal Personality” ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ อาจจะเป็นคนที่ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นพิเศษ และค่อนข้างประหยัด มัธยัสถ์ หรืออาจมีบุคลิกภาพตรงข้าม คืออาจจะเป็นคนที่ใจกว้าง และไม่มีความเป็นระเบียบ เห็นได้จากห้องทำงานส่วนตัวจะรกไม่เป็นระเบียบ
3) ขั้นอวัยวะเพศ (3-5 ปี) ความพึงพอใจของเด็กวัยนี้อยู่อวัยวะสืบพันธุ์ เด็กมักจะจับต้องลูกคลำอวัยวะเพศ ระยะนี้ ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กผู้ชายมีปมเอ็ดดิปุส (Oedipus Complex) ฟรอยด์อธิบายการเกิดของปมเอ็ดดิปุสว่า เด็กผู้ชายติดแม่และรักแม่มาก และต้องการที่จะเป็นเจ้าของแม่แต่เพียงคนเดียว และต้องการร่วมรักกับแม่ แต่ขณะเดียวกันก็ทราบว่าแม่และพ่อรักกัน และก็รู้ดีว่าตนด้อยกว่าพ่อทุกอย่าง ทั้งด้านกำลังและอำนาจ ประกอบกับความรักพ่อ และกลัวพ่อ ฉะนั้นเด็กก็พยายามที่จะเก็บกดความรู้สึก ที่อยากเป็นเจ้าของแม่แต่คนเดียว และพยายามทำตัวให้เหมือนกับพ่อทุกอย่าง ฟรอยด์เรียกกระบวนนี้ว่า "Resolution of Oedipal Complex” เป็นกระบวนการที่เด็กชายเลียนแบบพ่อ ทำตัวให้เหมือน "ผู้ชาย” ส่วนเด็กหญิงมีปมอีเล็คตรา (Electra Complex) ซึ่งฟรอยด์ก็ได้ความคิดมาจากนิยายกรีก เหมือนกับปมเอ็ดดิปุส ฟรอยด์อธิบายว่า แรกทีเดียวเด็กหญิงก็รักแม่มากเหมือนเด็กชาย แต่เมื่อโตขึ้นพบว่าตนเองไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเด็กชาย และมีความรู้สึกอิจฉาผู้ที่มีอวัยวะเพศชาย แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ยอมรับ และโกรธแม่มาก ถอนความรักจากแม่มารักพ่อ ที่มีอวัยวะเพศที่ตนปรารถนาจะมี แต่ก็รู้ว่าแม่และพ่อรักกัน เด็กหญิงจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้กลไกป้องกันตน โดยเก็บความรู้สึกความต้องการของตน (Represtion) และเปลี่ยนจากการโกรธเกลียดแม่ มาเป็นรักแม่ (Reaction Formation) ขณะเดียวกันก็อยากทำตัวให้เหมือนแม่ จึงเลียนแบบ สรุปได้ว่าเด็กหญิงมีความรักพ่อ แต่ก็รู้ว่าแย่งพ่อมาจากแม่ไม่ได้ จึงเลียนแบบแม่ คือ ถือแม่เป็นแบบฉบับ หรือต้นแบบของพฤติกรรมของ "ผู้หญิง”
4) ขั้นแฝง (Latency Stage) เด็กวัยนี้อยู่ระหว่างอายุ 6-12 ปี เป็นระยะที่ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กเก็บกดความต้องการทางเพศ หรือความต้องการทางเพศสงบลง (Quiescence Period) เด็กชายมักเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กชาย ส่วนเด็กหญิง ก็จะเล่น หรือจับกลุ่มกับเด็กหญิง
5) ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป จะมีความต้องการทางเพศ วัยนี้จะมีความสนใจในเพศตรงข้าม ซึ่งเป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่
ฟรอยด์กล่าวว่า ถ้าเด็กโชคดี และผ่านวัยแต่ละวัย โดยไม่มีปัญหาก็จะเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกภาพปกติ แต่ถ้าเด็กมีปัญหา ในแต่ละขั้นของพัฒนาการ ก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ ซึ่งฟรอยด์ได้ตั้งชื่อตามแต่ละวัย เช่น "Oral Personalities” เป็นผลของ Fixation ในวัยทารกจนถึง 2 ปี ผู้ใหญ่ที่มี Oral Personality เป็นผู้ที่มีความต้องการที่จะหาความพึงพอใจ ทางปากอย่างไม่จำกัด เช่น สูบบุหรี่ กัดนิ้ว ดูดนิ้ว รับประทานมาก มีความสุขในการกิน และชอบดื่ม คนที่มี Oral Personality อาจจะเป็นผู้ที่เห็นโลกในทางดี (Optimist) มากเกินไป จนถึงกับเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงของชีวิต หรืออาจจะเป็น คนที่แสดงตนว่าเป็นคนเก่ง ไม่กลัวใคร และใช้ปากเป็นเครื่องมือ เช่น ชอบพูดเยาะเย้ย ถากถางและกระแนะกระแหนผู้อื่น


2. แนวความคิดตามทฤษฎีบุคลิกภาพของอีริคสัน อีริค อีริคสัน (Erik Erikson) 
                อีริค   อีริคสัน (Erik Erikson ) มีความคิดเห็นว่า Ego มีความสำคัญมากกว่า Id และ Superego ในการพัฒนาบุคลิกภาพ  Ego  คือตัวกลางระหว่างมนุษย์กับสังคม บุคลิภภาพจะมีการพัฒนาตลอดชีวิต ไม่ใช่สิ้นสุดลงในวัยรุ่นเหมือนกับทฤษฏีของฟรอยด์ อิทธิพลที่สำคัญที่สุดคือการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือการมีสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ ในสังคมนั่นเอง อิริคสันได้จำแนกพัฒนาการทางบุคลิกภาพของมนุษย์ไว้    ขั้นตอน ดังนี้  
              ขั้นที่ 1  การสร้างความรู้สึกไว้วางทางใจ  หรือความไม่ไว้วางใจ ( Trust VS Mistrust )  ช่วงอายุแรกเกิดถึง  1 ขวบ  ถ้าเด็กได้รับอาหาร  น้ำ  ความรัก   ความเอาใจใส่  และความใกล้ชิดจากมารดาหรือพี่เลี้ยงเป็นอย่างดี  เด็กจะเกิดความรู้สึกไว้วางใจและความอบอุ่นมั่นคง  ในทางตรงข้ามถ้าถูกทอดทิ้งและมิได้ความรักจะเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจใครในวัยเด็ก  จะเกี่ยวข้องกับผู้ใกล้ชิด  ได้แก่  บิดา  มารดา  และหรือพี่เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ 
                ขั้นที่ 2   ความเป็นตัวของตัวเอง หรือความสงสัย ( Autonomy  VS Doubt)   ในช่วง ควบปีที่ 2
วัยนี้เด็กจะแสดงออกให้เห็นว่าตนเองมีความสามารถ  มีความเป็นตัวของตัวเอง  ในทางตรงข้าม  ถ้าเด็กมิได้รับความสำเร็จหรือความพอใจ เด็กจะเกิดความอายและกลัวการแสดงออก  ในวัยเด็กจะเกี่ยวข้องกับบิดามารดา  และหรือพี่เลี้ยงมาก  
                ขั้นที่ 3  การสร้างความคิดริเริ่ม  หรือความสำนึกผิด ( Initiative VS Guilt ) ช่วง 3 ถึง 5 ขวบ วัยนี้เด็กจะเลียนแบบสมาชิกในครอบครัว  ทดลองสิ่งใหม่ๆ  ถ้าทดลองแล้วผิดพลาด  เด็กจะเกิดความขยาดและหวาดกลัว  ในวัยนี้เด็กจะเกี่ยวข้องกับสมาชิกในครอบครัวและเด็กๆ  นอกบ้าน 
                ขั้นที่ 4   การสร้างความรู้สึกรับผิดชอบ  หรือความรู้สึกปมด้อย ( Industry VS Interiority ) ในช่วง 6- 11ขวบ  วัยนี้เด็กจะเริ่มเกี่ยวข้องกับสังคมมากขึ้นตามลำดับ  จะขยันเรียน  ขยันอ่านหนังสือประเภทต่างๆ  พูดคุยและอวดโชว์ความเด่น และความสามารถของตนเพื่อให้เพื่อนยอมรับ  ถ้าเด็กทำไม่ได้เขาจะผิดหวัง  และมีความรู้สึกเป็นปมด้อย  
                ขั้นที่ 5   การสร้างบุคลิกภาพของตน  หรือความไม่เข้าใจตนเอง (Identity VS Identity Diffusion )  ช่วงอายุ  13-18  ปี  วัยนี้เด็กจะสร้างเอกลักษณ์หรือบุคคลิกภาพของตน  โดยเลียนแบบจากเพื่อนๆ  หรือผู้ใกล้ชิด  ถ้ายังสร้างเอกลักษณ์ของตนไม่ได้จะเกิดความว้าวุ่น ว้าเหว่  และหมดหวัง 
                ขั้นที่ 6  การสร้างความเป็นผู้นำ หรือความเปล่าเปลี่ยว  Intimacy VS Isolation ) ช่วงอายุ  19-40 ปี  เป็นวัยที่เปลี่ยนไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ต้องการเป็นผู้นำ  ต้องการติดต่อและสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ  จนเป็นเพื่อนสนิทและหรือเป็นคู่ชีวิต  ยอมที่จะเป็นผู้นำในบางขณะ  ถ้าผิดหวังจะแยกตนเองออกจากสังคม  หรืออยู่ตามลำพัง  ในวัยนี้จะมีเพื่อนรัก  เพื่อนร่วมงาน  และเพื่อนสนิทเป็นจำนวนมาก               
                ขั้นที่ 7  ความเสียสละ หรือความเห็นแก่ตัว  Generativity VS Self Absorbtion ) ในช่วงวัยกลางคน
เป็นวัยที่มีความรับผิดชอบในการเป็นบิดามารดาให้กำเนิดบุตร  ให้การอบรมเลี้ยงดู  ให้การศึกษา  ให้ความรักและความเอาใจใส่เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่สมาชิกใหม่ทุกคน  ถ้าพบกับความล้มเหลวในชีวิต  เขาจะเป็นบิดามารดาที่ดีไม่ได้               
ขั้นที่ 8   การสร้างความมั่นคงของชีวิต หรือความสิ้นหวัง ( Integrity VS Despair   ตั้งแต่ 61 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่ต้องการความมั่นคงสมบูรณ์ในชีวิต  จะภาคภูมิใจในความสำเร็จแห่งชีวิตและผลงานของตน  ถ้าผิดหวัง
จะเกิดความรู้สึกล้มเหลวในชีวิต  ซึ่งอาจนำไปสู่ความเป็นโรคจิตในวัยเสื่อมได้ 

3.แนวความคิดตามทฤษฎีตัวตนของโรเจอร์ (Roger's Self Theory)

นวคิดที่สำคัญโรเจอร์ส เชื่อว่า มนุษย์มีธรรมชาติที่ดีมีแรงจูงใจในด้านบวก เป็นผู้ที่มีเหตุผล (Rational) เป็นผู้ที่สามารถได้รับการขัดเกลา (Socialized) สามารถตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ ถ้ามีอิสระเพียงพอ และมีบรรยากาศที่เอื้ออำนวย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ (Full Potential) และพัฒนาไปสู่ทิศทางที่เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละบุคคล อันจะนำไปสู่การตระหนักรู้ในตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization)
 โครงสร้างทางบุคลิกภาพ โครงสร้างบุคลิกภาพของโรเจอร์สประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ
1. อินทรีย์ (The organism) หมายถึง ทั้งหมดที่เป็นตัวบุคคล รวมถึงส่วนทางร่างกาย หรือทางสรีระของบุคคล (Physical Being) ที่ประกอบด้วยความคิด ความรู้สึกที่แสดงปฏิกิริยาตอบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมทั้งหมดของบุคคล โดยแสดงพฤติกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการ (Needs) ที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล และทำให้มนุษย์ มีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองไปสู่การรู้จักตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization) นอกจากนี้ มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมโดยการนำเอาประสบการณ์เดิมบางอย่างที่เขาให้ความหมาย หรือให้ความสำคัญต่อกับประสบการณ์เดิมบางอย่าง ที่เกิดจากการเรียนรู้ และนำเอาประสบการณ์เหล่านี้มาเป็นสัญลักษณ์ในจิตสำนึกของเขา (Symbolized in the Consciousness) โดยปฏิเสธประสบการณ์บางอย่างดังนั้นผู้ที่มีความสามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความหมายของประสบการณ์ที่ถูกต้องกับความเป็นจริงมากที่สุด จะเป็นผู้ที่สามารถพัฒนาได้ตามปกติ (Normal Development)
2. ประสบการณ์ทั้งหมดของบุคคล (Phenomenology Field) ที่เป็นสิ่งที่บุคคลจะรู้เฉพาะตนเท่านั้น และประสบการณ์ของบุคคลนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มพูนอยู่ตลอดเวลา โรเจอร์สอธิบายว่ามนุษย์อยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง ที่มีตนเองเป็นศูนย์กลางเป็นประสบการณ์ที่อาจเกิดจากสิ่งเร้าภายนอกและสิ่งเร้าภายในตัวบุคคล สามารถแบ่งออกเป็นประสบการณ์ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตสำนึก และจิตใต้สำนึกของบุคคล ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ทั้งเป็นสิ่งที่สื่อสารได้ และทั้งที่สื่อสารไม่ได้ ซึ่งเป็นพลังกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆ เช่น เด็กร้องไห้เมื่อเห็นสุนัขอาจเกิดจาก เคยถูกสุนัขกัด หรืออาจเคยถูกข่มขู่ให้กลัวสุนัขจนฝังใจหรือประสบการณ์ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกบางอย่าง บุคคลไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ เพราะอาจถูกเก็บไว้และซ่อนอยู่ภายในจิตใจจนเจ้าตัวไม่สามารถเข้าใจได้ เป็นลักษณะของเงื่อนปมที่ฝังอยู่ภายในจิตใจ โดยทั่วไปแล้วบุคคลจะให้ความหมาย และเลือกรับรู้เฉพาะประสบการณ์ที่สำคัญ โรเจอร์ส ให้ความสำคัญต่อความสามารถในการสื่อสารประสบการณ์เฉพาะตนให้กับผู้อื่นสามารถรับรู้ และเข้าใจได้ จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะนำไปสู่การเข้าใจตนเองของบุคคล ในขณะที่ผู้ที่มีความแปรปรวนทางอารมณ์และบุคลิกภาพ เกิดจากความไม่สามารถในการสื่อสารประสบการณ์เฉพาะตนอย่างเหมาะสมได้
 3. ตัวตน ( The Self )  เป็นศูนย์กลางของบุคลิกภาพ ที่เป็นส่วนของการรับรู้ และค่านิยมเกี่ยวกับตัวเรา ตัวตนพัฒนามาจากกการที่อินทรีย์มีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เป็นประสบการณ์เฉพาะตน ในการพัฒนาตัวตนของบุคคลนั้น บุคคลจะพบว่า มีบางส่วนที่คล้ายและบางส่วนที่แตกต่างไปจากผู้อื่น ตัวตนเป็นส่วนที่ทำให้พฤติกรรมของบุคคลมีความคงเส้นคงวา (Consistency) และประสบการณ์ใดที่ช่วยยืนยันความคิดรวบยอดของตน (Self-concept) ที่บุคคลมีอยู่ บุคคลจะรับรู้ และผสมผสานประสบการณ์นั้นเข้ามาสู่ตนเองได้อย่างไม่มีความคับข้องใจ แต่ประสบการณ์ที่ทำให้บุคคลรู้สึกว่าอัตมโนทัศน์ที่มีอยู่เบี่ยงเบนไปจะทำให้บุคคลเกิดความคับข้องใจที่จะยอมรับประสบการณ์นั้น ความคิดรวบยอดของตนเป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะบุคคลจะต้องอยู่ในโลกแห่งความเปลี่ยนแปลงโดยมีตัวเอง (Self) เป็นศูนย์กลางในการแสดงพฤติกรรมต่างๆ   

4. แนวความคิดตามทฤษฎีบุคลิกภาพของฮอร์นาย คาเรน ฮอร์นาย (Karen Horney)


 Karen Horney เติบโตมากับครอบครัวที่ค่อนข้างจะดูถูกบทบาทของสตรีเพศ ความรู้สึกไร้ค่าของเธอยังถูกเสริมด้วยความคิดว่าตัวเธอไม่สวย แม้คนอื่นจะไม่คิดเช่นนั้น คาเร็นแสดงปฏิกิริยาโดยการมุ่งการศึกษาดังที่เธอได้กล่าวในปลายปีต่อมาว่า แม้ฉันจะไม่สวย แต่ฉันจะเก่งเมื่อเธอมีครอบครัวเธอประสบกับปัญหาชีวิตมากมายจนทำให้เธอเป็นโรคซึมเศร้า ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่จิตแพทย์ของเธอวิเคราะห์สิ่งที่เธอเป็น จึงเป็นหนทางเริ่มต้นของการศึกษาด้านจิตวิทยาของเธอ Horney เชื่อว่ามนุษย์เรานั้นเกิดมาเพื่อแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันกันอย่างมาก (hypercompetitiveness) เป็นความต้องการที่ไม่รู้จักแยกแยะในการเอาชนะและหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ด้วยทุกวิถีทางเพื่อปกป้องความรู้สึกว่าตัวเองยังมีค่าอยู่ บุคคลประเภทที่รักการแข่งขันจะไม่เชื่อใจใคร จนกว่าเขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นคนซื่อสัตย์ บุคคลดังกล่าวพยายามเอาชนะความรู้สึกมีปมด้อย ด้วยการพยายามต่อสู้เพื่อความเหนือกว่า โดยกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดันทุรัง เย่อหยิ่ง ก้าวร้าวและดูถูกคนอื่น
Horney นั้นยังมุ่งประเด็นไปที่รากฐานที่มาของอาการโรคประสาทของบุคคล การเลี้ยงดูของครอบครัวนั้นมีส่วนสำคัญในการสร้างให้คน ๆ นั้นเป็นโรคประสาทหรือไม่ เช่น ไม่สนใจพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่ให้เกียรติลูกและไม่สนใจความต้องการของลูกคล้ายกับ Defense Mechanism ของ Freud ทาง Horney เชื่อว่า เด็กมักจะใช้เจตคติป้องกันตัวเองวิธีการปกป้องตัวเองชั่วคราวเหล่านี้จะทำให้ปวดร้าวอันเกิดจากความเหงา และความไม่มั่นใจน้อยลงและทำให้รู้สึกปลอดภัย ฮอร์ไนได้เรียกการปกป้องตัวเองเหล่านี้ว่า neurotic needs ซึ่งแบ่งเป็น 10 ประการดังนี้


  1. The neurotic need for affection and approval – คนที่ต้องการความรักอย่างไม่แยกแยะ พวกนี้มักจะหูเบา เชื่อคนง่าย และกลัวการถูกปฏิเสธ
  2. The neurotic need for a “partner” who will take over one’s life – คนที่ต้องการที่จะมี คู่ชีวิตอย่างที่สุดจนเกินไป พวกนี้มักจะเป็นพวกที่ขาดแหล่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจอย่างที่สุด
  3. The neurotic need to restrict one’s life within narrow borders – ความต้องการแบบประสาทเพื่อควบคุมชีวิตของตัวเองอยู่ในวงแคบๆ
  4. The neurotic need for power – ความบ้าอำนาจแบบประสาท
  5. The neurotic need to exploit other – คนที่มักจะเอาเปรียบผู้อื่น มักเปนคนมองโลกในแง่ร้าย ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
  6. The neurotic need for social recognition and prestige – คนที่ให้ความสำคัญกับยศฐาบรรดาศักดิ์จนเกินไป
  7. The neurotic need for personal admiration – คนที่เป็นโรคประสาทมักจะรู้คิดว่าตนเองนั้นน่าขยะแขยง ดังนั้นคนประเภทนี้จึงมักจะต้องการให้คนอื่นมาชื่นชมชมชอบตนเองจนเกินไป
  8. The neurotic ambition for personal achievement — คนประเภทนี้จะต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติยศ และการเคารพ
  9. The neurotic need for self-sufficiency and independence – คนประเภทนี้มักจะต้องการอยู่อย่างสันโดษ การแสดงความเหินห่างทำให้คนประเภทนี้สามารถรักษาภาพลวงว่าตัวเองเลอเลิศในความคิดฝันของคนประเภทนี้จะเต็มไปด้วยภาพลวงตัวเองว่าดีเลิศจนพวกเขาไม่ยอมมีการปฏิสัมพันธ์และไม่ยอมมีการเปรียบเทียบกับผู้อื่น
  10. The neurotic need for perfection and unavailability — คนประเภทนี้มักจะใฝ่หาความสมบูรณ์แบบในชีวิตของตนเอง จนกระทั่งนำพามาซึ่งความเครียดจนกลายเป็นโรคประสาท


ดังจะเห็นได้ว่าโรคประสาททั้งสิบชนิดนั้นมีอาการที่ซ้ำซ้อนกัน ดังนั้น Horney จึงจัดประเภทออกมาได้สามกลุ่มได้แก่ การยอมทำตาม (compliant) ความก้าวร้าว (aggression) และความเหินห่าง (detached) Horney มีความเชื่อว่า ประสบการณ์พิเศษในสังคมและวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดบุคลิกตอนเป็นผู้ใหญ่ที่สำคัญ เด็กซึ่งได้รับการรังแกด้วยความรุนแรงและไร้เหตุผลจะทำให้เป็นโรคประสาท พัฒนาการที่แข็งแรงนั้นเกิดจากความสัมพันธ์ที่อบอุ่น ยุติธรรม เข้าใจกัน สนับสนุนกันและด้วยการให้เกียรติของพ่อแม่ ถ้าหากเด็กได้รับการอบรมที่ดีจะสามารถบรรลุได้ถึงตัวตนที่แท้จริง (real self) ของตัวเอง และถ้าได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมมนุษย์ทุกคนสามารถมุ่งสู่การตระหนักในตัวเอง(self-realization) และได้พัฒนาศักยภาพของตนเองเช่นกัน

5. แนวความคิดตามทฤาฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล แฮรี่ สแตค ซัลลิแวน (Harry Stack Sullivan) 

                ซัลลิแวนได้แบ่งการพัฒนาบุคลิกภาพตามประสบการณ์เป็น 7  ขั้น
      1. ขั้นทารก (Infancy) อายุแรกเกิด -18 เดือน วัยนี้จะมีความสุข กับการใช้ปากในการตอบสนองความต้องการอาหารของตนเองด้วยการดูดหรือการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการใช้ประสาทตาสัมผัสกับมือในการดูดนิ้วตนเอง
    2. ขั้นวัยเด็ก (Childhood) อายุ 18 เดือน - 5  เดือน เป็นระยะที่เริ่มหัดพูด ฝึกออกเสียงได้ชัดเจน เริ่มมีเพื่อนและต้องการให้ผู้อื่นยอมรับสถานภาพของตนเอง
    3. ขั้นวัยเยาว์ (Juvenile Era) อายุระหว่าง 5-12 ปี เป็นวัยที่เข้าโรงเรียน พัฒนาการทางร่างกายเร็วมากเริ่มรู้จักสังคม มีการร่วมมือและแข่งขัน เรียนรู้ที่จะควบคุมตนอง
 4. ขั้นก่อนวัยรุ่น (Pre- Adolescence) อายุ 11-13 ปี เริ่มมีวุฒิภาวะทางเพศ มีการกล้าแสดงออกมากขึ้นและยังต้องการความเท่า
เทียมกับผู้ใหญ่
    5. ขั้นวัยรุ่นตอนต้น (Early Adolescence) อายุระหว่าง 13- 17 ปี เป็นวัยที่มีความพอใจในเรื่องเพศ ต้องการคบเพื่อนเดียวกันและต่างเพศ ต้องการความเป็นอิสระไม่อยากพึ่งพาใคร
    6. ขั้นวัยรุ่นตอนปลาย (Late Adolescence) อายุ 17-19 ปี ร่างกายเจริญเต็มที่ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรู้และเข้าใจตนเอง เรียนรู้บทบาทในสังคมได้ดี
    7. ขั้นวัยผู้ใหญ่ (Adulthood) อายุระหว่าง 20-30 ปี เป็นวัยที่มีพัฒนาการทุกอย่างสมบูรณ์เต็มที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นสร้างหลักฐาน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

 ซัลลิแวนมีความเชื่อว่า การพัฒนาบุคลิกภาพในเยาว์วัยมีความสำคัญมาก และเป็นวัยที่กำหนดชี้แนวทางพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลในอนาคต อีกทั้งเป็นวัยที่ริเริ่มรู้จักโลก อันสลับซับซ้อน และเริ่มมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นมากขึ้น

6. แนวความคิดตามทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคล (Individual Psychology) อัลเฟรด แอดเลอร์

อัลเฟรด แอดเลอร์ (Alfed Adler) เป็นจิตแพทย์ที่ได้ค้นคว้าและพัฒนาบุคลิกภาพขึ้นมาใหม่ เรียกว่า จิตวิทยาปัจเจกชน (Individual Psychology) เชื่อในอิทธิพลของสังคม ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมของบุคคลจะเป็นอย่างไรนั้นถูกกำหนดโดยสังคมรอบตัว เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ประเพณีวัฒนธรรม วิธีการเลี้ยงดูบุตร
แอดเลอร์ มีความเชื่อว่า บุคคลโดยพื้นฐานแล้วถูกจูงใจโดยปมด้อย บุคคลบางคนมีความรู้สึกเป็นปมด้อย เมื่อมีร่างกายพิการและมีความต้องการที่จะทำการชดเชยปมด้อยเหล่านั้น ความรู้สึกที่ตนเองมีปมด้อยทำให้เกิดแรงขับที่เรียกว่า ปมเด่น ตัวอย่างเช่น นักกวีชาวอังกฤษ ลอร์ด ไบรอน (Lord Byron) ชาพิการเป็นแชมป์ว่ายน้ำ บีโธเวน(Beethoven) หูพิการได้สร้างตนเองจนได้รับความสำเร็จเป็นนักดนตรีเอกของโลก
แอดเลอร์ มีความเชื่อว่า ความรู้สึกของตนเองจะแสดงบทบาทที่สำคัญ ในการสร้างรูปแบบของบุคลิกภาพ การรู้จักสร้างตนเอง และบุคลิกภาพแบบที่รู้จักตนเอง ก่อให้เกิดความพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งหลาย และสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ เพราะว่าศักยภาพนี้เป็นลักษณะพิเศษที่มีอยู่ในแต่ละบุคคล ทรรศนะจิตวิทยาของแอดเลอร์เรียกว่า จิตวิทยาปัจเจกชน (Individual Psychology)
ความรู้สึกเป็นปมด้อย (Feeling of Inferiority) แอดเลอร์ กล่าวว่าบุคคลมีความพิการทางร่างกายมีความพยายามที่จะหาทางชดเชยความบกพร่องของตนเอง โดยการฝึกอบรมอย่างเร่งรีบ เด็กผู้หญิงที่พูดติดอ่าง จะพยายามเอาชนะอุปสรรคการพูดติดอ่าง โดยการพยามยามฝึกหัด จนกระทั่งสักวันหนึ่งเขาก็จะสามารถพูดได้เก่ง บางทีก็อาจจะได้เป็นผู้ประกาศข่าวทางวิทยุกระจาย เสียง เด็กผู้ชายที่มีขาไม่แข็งแรงจะมีความพยายามอุตสาหะฝึกฝนตนเอง ให้กลายเป็นนักวิ่งระยะไกลที่มีชื่อเสียง จากตัวอย่างเด็กหญิงและเด็กชายที่กล่าวมาแล้วนี้ แอดเลอร์มีความเชื่อว่า ปมด้อยมิได้เกิดจากความพิการในตัวของมัน ที่ทำให้เกิดแรงมานะพยายามที่จะเอาชนะปมด้อย แต่ที่จริงแล้วเกิดจากเจตคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งนั้น บุคคลที่มีความเป็นอิสระที่จะแปลความหมาย ความบกพร่อง ได้หลายแนวทาง หรือแม้กระทั่งว่าจะไม่ยอมรับรู้เลยก็ได้ ถ้าเขาไม่ยอมรับรู้เลยก็จะไม่ทำให้เกิดความพยายาม ที่จะทำลายพฤติกรรม ทำให้เกิดเป็นปมเขื่อง ชอบแสดงอำนาจความก้าวร้าวเพื่อปิดบังข้อบกพร่องของตน
แอดเลอร์ กล่าวว่า โครงสร้างบุคลิกภาพของบุคคลเกิดขึ้นจากเป้าหมาย 2 ชนิด 
1. พยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคม (Social Adaptation) 
2.
2. พยายามทรงไว้ซึ่งอำนาจ(Attainment of Power
)



7. แนวความคิดตามทฤฎีจิตวิทยาเชิงวิเคราะห์ของจุง (Jung' Analytical Psychology) 
ผู้ก่อตั้งทฤษฎีนี้ได้แก่คาร์ล จี. จุง นักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ (Carl G. Jung , อ้างถึงใน เติมศักดิ์ คทวณิช. 2547 : 239-242) แนวความคิดทฤษฎีบุคลิกภาพของจุงนั้นจำแนกเป็นส่วนสำคัญได้ 2 ส่วน ดังนี้
(1) โครงสร้างบุคลิกภาพ (Structure of Personality) บุคลิกภาพตามความหมายของจุงคือจิต(Psyche) ซึ่งประกอบด้วยระบบต่างๆ เป็นส่วนๆ มาทำงานรวมกัน ได้แก่ก. อีโก้ จุงเชื่อว่าอีโก้เป็นศูนย์กลางแห่งบุคลิกภาพของบุคคลซึ่งอยู่ในส่วนของจิตสำนึก(conscious) ซึ่งประกอบไปด้วยความจำ ความรู้สึกนึกคิด การตัดสินใจ และการมีสติซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่บุคคลจะสามารถรับรู้เกี่ยวกับตนเองได้ตลอดเวลา จึงเท่ากับว่าอีโก้เป็นตัวกำหนดบทบาท หน้าที่ และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละบุคคลข. จิตใต้สำนึกส่วนบุคคล (Personal Unconscious) ส่วนนี้จะอยู่ถัดจากอีโก้ลงไป เป็นส่วนที่ประกอบไปด้วยประสบการณ์ต่างๆที่เคยอยู่ในจิตสำนึกมาก่อนแต่ได้ถูกกดลงสู่จิตใต้สำนึก (Unconscious) ด้วยกลไกทางจิต ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการที่จะลืมประสบการณ์เหล่านั้นเพราะเป็นความเจ็บปวด เป็นทุกข์ หรือไม่พอใจเป็นต้น ต่อมาภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น สิ่งแวดล้อมหรือ ได้รับสิ่งเร้าที่เหมาะสม ประสบการณ์เหล่านั้นอาจจะผลักดันขึ้นมาสู่จิตสำนึกที่รับรู้ได้อีกครั้งประสบการณ์ต่างๆ ภายในจิตใต้สำนึกส่วนบุคคล (Personal Unconscious) นี้ถ้าได้รับการรวบรวมให้เป็นกลุ่มหรือหมวดหมู่ของความรู้สึก (Constellation) ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว จุงเรียกการเกิดสภาวะเช่นนั้นว่าปม (Complex) ดังนั้นเท่ากับว่าจิตใต้สำนึกส่วนบุคคลจึงเป็นแหล่งรวบรวมปมของบุคคลไว้มากมาย เช่น ปมเกี่ยวกับแม่ (Mother Complex) เกิดจากการจัดกลุ่มหรือหมวดหมู่ของประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับแม่ เช่น ความรู้สึก ความจำต่างๆ ที่ได้รับจากแม่จนก่อตัวขึ้นเป็นปมเมื่อพลังจากปมนี้มีมากจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการควบคุมบุคลิกภาพของบุคคลนั้นให้ทำตามสิ่งที่แม่พูด แม่สั่ง แม่คิด หรือสิ่งที่เป็นความประสงค์ของแม่ แม้กระทั่งการเลือกภรรยาก็จะเลือกบุคคลซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับแม่ของตน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ต่างๆ ที่รวมกลุ่มหรือหมวดหมู่ขึ้นเป็นปมนั้นอาจกลับขึ้นมาสู่จิตสำนึกได้อีกครั้งถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมค.จิตใต้สำนึกส่วนที่สะสมประสบการณ์ในอดีตชาติ (Collective Unconscious) จุง อธิบายว่าจิตใต้สำนึกส่วนนี้จะทำหน้าที่สะสมประสบการณ์ต่างๆ ที่ทุกคนได้รับเป็นมรดกสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ตั้งแต่เริ่มต้นมีมนุษย์เกิดขึ้นภายในโลกเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ จุงเชื่อว่ามนุษย์ ทุกคน ทุกตระกูล ทุกเชื้อชาติ และทุกเผ่าพันธุ์ต่างก็มีประสบการณ์ในจิตใต้สำนึกส่วนที่สะสม ประสบการณ์ในอดีตชาติที่เป็นต้นฉบับเดียวกันทั้งสิ้น โดยบันทึกเป็นข้อมูลอยู่ในสมองแล้วถ่ายทอดกันมาแต่ละรุ่นยาวนานตลอดจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ในการแสดงพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ทั่วโลก จึงอธิบายจากต้นฉบับที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่อดีตชาติได้เหมือนกันหมด เช่น ทำไมเด็กทารกจึงเกิดมากับความพร้อมที่จะรับรู้และสร้างสัมพันธภาพอันดีกับแม่เป็นอันดับแรก ถ้าอธิบายตามแนวคิดของจุงนั้นเป็นเพราะว่าเด็กได้รับประสบการณ์ความสัมพันธ์กับแม่มาตั้งแต่อดีตชาติภายใต้จิตใต้สำนึกส่วนที่สะสมประสบการณ์ใน อดีตชาติ จึงทำให้มีพื้นฐานเช่นนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบันง. หน้ากาก (Persona) หมายถึง สภาวะของบุคคลที่จะต้องแสดงบทบาทไปตามความคาดหวังของสังคมและเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีตามที่สังคมกำหนด หรือเป็นการแสดงออกเพื่อให้ได้รับการยอมรับและสร้างความประทับใจบุคคลอื่นๆ ดังนั้นในบางครั้งบุคลิกภาพของบุคคลที่เกิดจากการใช้หน้ากาก จึงอาจจะมีความขัดแย้งกับบุคลิกภาพที่แท้จริงภายในตัวบุคคลนั้นได้ เท่ากับว่าหน้ากากจึงทำหน้าที่ควบคุมบุคลิกภาพส่วนที่ไม่ดีที่แท้จริงของบุคคลไม่ให้ปรากฎออกมาต่อสังคมภายนอก ความขัดแย้งระหว่างบุคลิกภาพเหล่านี้ถ้าเกิดบ่อยครั้งในหลายๆ เรื่องอาจจะทำให้บุคคลนั้นขาดความเป็นตัวของตนเอง กลายเป็นคนสวมหน้ากากเข้าหาผู้อื่น หรือเป็นคนที่มีความขัดแย้งในใจได้จ. ลักษณะซ่อนเร้น (Anima or Animus) จุงเชื่อว่ามนุษย์มีลักษณะทั้งสองเพศอยู่ในคนคนเดียวกัน โดยจะเห็นได้จากการที่เพศชายจะมีความนุ่มนวลและอ่อนโยนซึ่งเป็นลักษณะของเพศหญิงอยู่ในตัว จุงเรียกลักษณะเช่นนี้ว่าแอนิมา (Anima) ส่วนผู้หญิงจะมีความเข้มแข็ง กล้าหาญ และเด็ดขาดซึ่งเป็นลักษณะของเพศชายซ่อนเร้นอยู่ในตัวเช่นกัน จุงเรียกลักษณะเช่นนี้ว่าแอนิมัส (Animus) จากลักษณะทั้งสองเพศที่ซ่อนเร้นอยู่นี้จึงทำให้ผู้ชายเข้าใจธรรมชาติของผู้หญิง และผู้หญิงก็มีความเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายได้ด้วยตัวของตัวเองฉ. เงาแฝง (Shadow) เป็นภาพหรืออาร์คีไทป์รูปแบบหนึ่งที่ก่อตัวมาจากสัตว์ก่อนจะมีวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่าเงาแฝงเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ที่จะส่งผลให้มนุษย์แสดงความชั่วร้าย ก้าวร้าว และป่าเถื่อน รวมทั้งพฤติกรรมต่างๆ ที่ขัดแย้งกับกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของสังคม เงาแฝงเหล่านี้จะถูกควบคุมและปกปิดโดยหน้ากาก หรือเก็บกดไว้ในจิตใต้สำนึก(2) ลักษณะบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล จากโครงสร้างทางบุคลิกภาพที่จุงได้อธิบายไว้ จุง จึงแบ่งลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลไว้ 2 ประเภทคือก. แบบเก็บตัว (Introvert) เป็นบุคลิกภาพของบุคคลที่มีแน้วโน้มเป็นพวกเก็บตัว ชอบความสงบเงียบไม่ชอบการเข้าสังคม ขี้อาย พอใจที่จะอยู่เบื้องหลัง ขาดความมั่นใจในตนเอง ชอบใช้วิธีหนีปัญหามากกว่าเผชิญปัญหา ส่วนดีของบุคลิกภาพแบบเก็บตัวนี้มักจะเป็นบุคลิกของ นักประดิษฐ์และนักคิดค้นทั้งหลาย แต่ส่วนเสียมักจะเกิดอาการซึมเศร้า แยกตัว และไม่สนใจสังคมข. แบบแสดงตัว (Extrovert) เป็นบุคลิกภาพประเภทแสดงตัว ชอบเข้าสังคมรักความสนุกสนาน ชอบการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริง มีมนุษยสัมพันธ์ดี กล้าที่จะแสดงออก ชอบความเป็นผู้นำต้องการเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป คบคนง่าย ชอบเผชิญปัญหามากกว่าการหนีปัญหาอย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงจะพบว่าคนบางคนจะมีบุคลิกภาพแบบกลางๆ กล่าวคือ มักจะมีบุคลิกภาพเป็นไปตามสถานการณ์ เช่น ในสถานการณ์หนึ่งอาจมีบุคลิกภาพแบบแสดงตัว ในอีกสถานการณ์หนึ่งอาจเป็นแบบเก็บตัวก็ได้ จุงจัดคนประเภทนี้อยู่ในพวกแอมบิเวิร์ตทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคลของแอดเลอร์ (Adler’s Individual Psychology) อัลเฟรดแอดเลอร์ (Alfred Adler , อ้างถึงใน เติมศักดิ์ คทวณิช. 2547 : 242 - 244) เป็นนักจิตวิทยาเชื้อสายยิวในระยะเริ่มต้นนั้นแอดเลอร์ เคยทำงานร่วมกับกลุ่มจิตวิเคราะห์มาระยะหนึ่ง แต่ภายหลังมีความคิดเห็นคัดค้านแนวคิดของ ฟรอยด์ เช่น เกี่ยวกับความฝัน ตลอดจนวิธีการบำบัดผู้ป่วยตามแนวทางของจิตวิเคราะห์ ทำให้แยกตัวมาตั้งทฤษฎีใหม่ และเรียกกลุ่มตนเองว่าทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคลทั้งนี้เนื่องจากมีความเชื่อว่าการศึกษาบุคลิกภาพของบุคคลนั้น ไม่ใช่เป็นการศึกษาถึงพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่จะต้องศึกษาพฤติกรรมทั้งหมดที่บุคคลนั้นแสดงต่อสถานการณ์หรือรูปแบบของ พฤติกรรมที่ใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ ในสังคม ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายและสิ่งแวดล้อมของแต่ละบุคคล และผลจากการศึกษาของแอดเลอร์ทำให้ได้ข้อสรุปปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกของบุคคลไว้ 3 ประการ ดังนี้(1) ลำดับการเกิดของเด็กในครอบครัว (Order of Birth) แอดเลอร์ให้ความสำคัญต่อสังคมระดับครอบครัวเป็นอันดับแรก โดยสังเกตจากบุคลิกภาพของลูกคนโต คนกลาง และคนสุดท้อง ซึ่งจะแตกต่างกันไปอย่างเห็นได้เด่นชัด จึงทำให้เชื่อว่าเป็นเพราะประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากพ่อแม่แตกต่างกันไป ซึ่งได้สรุปไว้ดังนี้ก. ลูกคนโต เป็นลูกคนแรกของครอบครัว ดังนั้นเด็กจะได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างมาก จนกระทั่งเมื่อมีน้องใหม่เกิดขึ้นเด็กจะมีความรู้สึกว่าความรักที่เคยได้รับจะถูกแบ่งปันไปให้น้องที่มาใหม่ ประสบการณ์เช่นนี้จะทำให้เด็กมีบุคลิกภาพประเภทขี้อิจฉาและเกียดชังผู้อื่นรู้สึกไม่มั่นคง พยายามปกป้องตนเอง ดังนั้นถ้าพ่อแม่สามารถที่จะเตรียมความพร้อมให้ลูกคนโตเพื่อรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดได้ล่วงหน้าแล้ว จะทำให้ลูกคนโตมีบุคลิกภาพพัฒนาไปในแนวทางที่พึงประสงค์ได้ เช่น มีความรับผิดชอบสูง เชื่อมั่นในตนเอง ชอบช่วยเหลือปกป้อง คุ้มครองผู้อื่นที่ด้อยกว่าข. ลูกคนกลาง มักจะเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง มีความอุตสาหะพยายาม อดทน แต่มีแนวโน้มที่จะเป็นคนดื้อรั้น และในส่วนลึกจะมีความรู้สึกอิจฉา พี่น้องของตนจึงพยายามจะเอาชนะหรือแสดงความสามารถที่เหนือกว่าพี่และน้องออกมา ทั้งนี้เนื่องจากคิดว่าพ่อแม่จะรักพี่คนโตและน้องคนสุดท้องมากกว่าตน แต่โดยทั่วไปแล้วลูกคนกลางมักจะมีความสามารถในการปรับตัวได้ดีกว่าพี่และน้องค. ลูกคนสุดท้อง เนื่องจากเป็นลูกคนเล็กจึงมักได้รับการตามใจประคบประหงมและได้รับความช่วยเหลือจากพ่อแม่หรือพี่ๆ อยู่เสมอ ทำให้เด็กที่เป็นลูกคนสุดท้องจึงมีลักษณะเป็นคนเอาแต่ใจตนเอง ชอบขอความช่วยเหลือผู้อื่น ไม่รู้จักโต(2) ประสบการณ์ในวัยเด็ก (Chilhood Experience) หมายถึง ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากการอบรมเลี้ยงดูในระยะแรกของชีวิต ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี ซึ่งแอดเลอร์ได้ให้ความสนใจประสบการณ์เหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้เพราะเขาเชื่อว่าเป็นปัจจัยที่มีผลต่อบุคลิกภาพเป็น อย่างยิ่ง ประสบการณ์ที่เด็กได้รับดังกล่าวแบ่งเป็น 3 ลักษณะคือก. เด็กที่เลี้ยงดูแบบตามใจ (Spoiled Child) แอดเลอร์เห็นว่าการตามใจลูกหรือทะนุถนอมลูกจนเกินไปจะทำให้เด็กเสียคน ไม่สามารถจะพัฒนาตนเองในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ ขาดเหตุผล เอาแต่ใจตนเอง เห็นแก่ตัว เรียกร้องสิ่งที่ตนต้องการจากสังคมเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เคยคิดจะตอบแทนผู้อื่นหรือสังคมเลยข. เด็กที่ถูกทอดทิ้ง (Neglected Child) หมายถึง เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย ขาดความเอาใจใส่ เนื่องจากพ่อแม่เสียชีวิต แยกทางกัน หรือเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงถูกทอดทิ้งเพราะพ่อแม่เกลียดชังไม่ต้องการลูก เด็กที่อยู่ในสภาพเช่นนี้จะรู้สึกเกลียดชังพ่อแม่ตนเองและคนรอบข้าง ทำให้มีบุคลิกภาพเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เห็นทุกคนเป็น ศัตรูกับตน เป็นพวกต่อต้านและแก้แค้นสังคม ชอบข่มขู่วางอำนาจ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ยากค. เด็กที่ได้รับความรักความอบอุ่นอย่างสมบูรณ์ (Warm Child) หรือเลี้ยงดูแบบใช้เหตุผลกับลูก เด็กที่ได้รับประสบการณ์ที่ดีเช่นนี้จะทำให้เป็นคนที่มีเหตุผล กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ มีจิตใจ และความคิดเป็นประชาธิปไตย มองโลกในแง่ดี ร่าเริง แจ่มใส และเอาใจใส่ผู้อื่น ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่พึงประสงค์ของสังคม(3) ความรู้สึกว่ามีปมด้อยและสร้างปมเด่นชดเชย (Inforiority Feeling and Compensation) แอดเลอร์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีปมด้อย ซึ่งในระยะแรกจากการสังเกตผู้ป่วยที่มารับบริการรักษาในคลินิกของแอดเลอร์ พบว่าในวัยเด็กคนไข้เหล่านี้มักมีความบกพร่องทางร่างกายเป็นส่วนใหญ่ แต่ต่อมาจึงพบว่านอกจากสภาพร่างกายที่เป็นปมด้อยแล้ว ยังเป็นผลมาจากประสบการณ์ต่างๆ ที่บุคคลได้รับจากสังคม ปัจจัยเหล่านี้จะกลายเป็นปมด้อยของแต่ละคนก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นเกิดการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับบุคคลอื่นแล้วมีการเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สภาพทางร่างกาย ความสามารถ สถานภาพทางสังคม ฐานะความเป็นอยู่ การยอมรับ ซึ่งปกติโดยทั่วไปแล้วแต่ละคนมักจะมองเห็นว่าสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นไม่สมบูรณ์ สู้คนอื่นไม่ได้ หรือเป็นปมด้อยเสมอ และความรู้สึกว่าเป็นปมด้อยนี้เองทำให้เกิดเป็นแรงผลักดันในการที่จะดิ้นรนเพื่อเอาชนะปมด้อยของตน โดยการสร้างปมเด่น (Superiority Complex) ขึ้นมา เพื่อทำให้เกิดรู้สึกมั่นใจภูมิใจ พึงพอใจ และเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั้งหลายในสังคม


8. แนวความคิดตามทฤษฎีการวิเคราะห์การติดต่อสื่อสาร (Transactional Analysis) โดย อีริค เบอร์น    (Eric Berne)
ทฤษฎีการให้การปรึกษาแบบวิเคราะห์เชิงสัมพันธ์ระหว่างบุคคล   (TA)    ถือกำเนิดขึ้นราวช่วงปี ค.ศ. 1950 โดย แอริค เบิร์น    (Eric Berne)      ซึ่งได้รับการอบรมเป็นจิตแพทย์และนักจิตวิเคราะห์    ในช่วงนั้นทฤษฎีจิตวิเคราะห์เป็นทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากต่อการบำบัดทางจิต    อย่างไรก็ตามการค้นพบธรรมชาติของภาวะอีโก้ (Ego State)  โดยเบิร์นทำให้  TA เกิดขึ้นและตกผลึกเป็นทฤษฎีที่มีความเป็นอิสระ    ดังนั้นการเผยแพร่ความคิดภาวะของอีโก้ในช่วงปี  ค.ศ.   1955 – 1962  จึงจัดเป็นระยะแรกของการพัฒนา TA  การค้นพบภาวะของอีโก้มีพื้นฐานจากการทดลองทางประสาทวิทยาที่กระตุ้นเร้าสมองโดยตรงบุคคลจะมีประสบการณ์แสดงภาวะอีโก้ของความเป็นพ่อแม่  ผู้ใหญ่  และเด็ก   ซึ่งเป็นตัวกำหนดความคิด   ความรู้สึก  และพฤติกรรม  เบิร์นยืนยันว่าภาวะอีโก้ทั้ง  3  สามารถสังเกตเห็นได้ในพฤติกรรมปัจจุบัน  เขานำการค้นพบนี้ไปใช้ในการจัดทำจิตบำบัดแบบกลุ่ม  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการใช้แนวคิดจิตวิเคราะห์ในการบำบัด
     การให้การปรึกษาการวิเคราะห์การติดต่อสัมพันธ์  (Transactional Analysis – TA)  ได้รับแนวคิดมาจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์  แต่เป็นแนวคิดที่มองมนุษย์ในแง่ดี  โดยให้ความสำคัญกับแรงผลักดันเพื่อการมีสุขภาพจิตที่ดีและสามารถตัดสินใจเพื่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต  นักบำบัดที่ใช้ทฤษฎีนี้เชื่อว่าจำนวนและลักษณะของการได้รับความเอาใจใส่  และคำสั่งที่บุคคลได้รับในวัยเด็ก  เป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดบุคลิกภาพการตัดสินใจเกี่ยวตนเอง  และสัมพันธภาพ  ความสมดุลระหว่างภาวะของอีโก้ (ภาวะพ่อแม่  ภาวะผู้ใหญ่  ภาวะเด็ก)  เป็นตัวกำหนดบุคลิกภาพและผลักดันพฤติกรรม  ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นหน่วยพื้นฐานของการวิเคราะห์  ตัวแปรต่างๆ  ที่มีผลต่อสัมพันธภาพคือเกมทางจิตวิทยา  วิธีการสื่อสารระหว่างบุคคล  หน้าที่ของผู้ให้การปรึกษาทฤษฎีนี้คือ  การทำให้ผู้รับการปรึกษาค้นพบพลังในตัวเอง  TA  ให้ความสำคัญกับการมีความรับผิดชอบ  TA  มักใช้โดยมากในบริบทของกลุ่ม  เพื่อให้สมาชิกได้รับปฏิกิริยาสะท้อนกลับ(Feedback)  จากเพื่อนสมาชิกคนอื่นๆ  และมีโอกาสให้การเอาใจใส่ต่อกันเพื่อเป็นการเสริมแรงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เมาะสม  สำหรับเทคนิคการปรึกษานั้น TA ได้บูรณาการเทคนิคจากทฤษฎีอื่นๆเพื่อให้เหมาะสมกับกรอบแนวคิด

9. แนวความคิดตามทฤษฎีบุคลิกภาพของฟรอมม์ อีริค ฟรอมม์ (Erich From)

ความเชื่อว่าบุคลิกภาพเกิดจากความสำเร็จหรือความล้มเหลวของสังคมที่จะตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล  ความต้องการที่เป็นพื้นฐานสำคัญของบุคลิดภาพแบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้1.       ความต้องการมีความสัมพันธ์  แก้ไขความอ้างว้างโดยการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น2.       ความต้องการสร้างสรรค์  รู้จุดเด่นและจุดด้อย3.       ความต้องการมีสังกัด  การมีไมตรีจิตกับเพื่อนมนุษย์ทั่วไป4.       ความต้องการมีเอกลักษณ์ เป็นความต้องการของตัวเอง รู้จักตัวตนของตัวเอง5.       ความต้องการมีหลักยึดเหนี่ยวมนุษย์ถูกฝึกฝนอบรมให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและสังคมต้องตอบสนองความต้องการของมนุษย์เช่นกัน ดังนั้นสภาพของสังคมจึงมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ฟรอมม์ได้แบ่งลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลในสังคมเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ1.       บุคลิกภาพประเภทไม่สร้างสรรค์ มี 4 ลักษณะ1.1  บุคลิกภาพชอบทำลาย มีความก้าวร้าวสูง1.2 บุคลิกภาพยอมรับฟังหรือทำตามผู้อื่น1.3 บุคลิกภาพชอบท้าทายเป็นนักธุรกิจ ชอบเก็บของแล้วขายต่อ1.4 บุคลิกภาพชอบสะสมไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือตัวบุคคล

10. แนวความคิดตามแนวพุทธศาสนา
ในทางพุทธศาสนา ถือว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ ประการ1.       รูปขันธ์ คือ ลักษณะทางกาย ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมตามกฎสากล2.       นามขันธ์ คือ จิตใจเป็นลักษณะที่แสดงถึงความีชีวิตของมนุษย์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับสภาพทางกาย จิตบุคลิกภาพของบุคคลตตามแนวพุทธศาสนามีเอกลักษณ์การทำงานประสานสัมพันธ์ทั้งกายและจิตใจของมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงจำแนกลักษณะบุคลิกภาพโดยยึดจริต คือ1.       ราคจริต2.       โทสจริต3.       โมหจริต4.       ศรัทธาจริต5.       วิตกจริต6.       พุทธจริต


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น