ไวรัส (Virus)
คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก เล็กกว่าแบคทีเรียหลายเท่า
ขนาดของไวรัสเท่ากับ 20 ถึง 300 นาโนเมตร (Nanometre) และสามารถทำให้เกิดโรค (การติดเชื้อไวรัส หรือ โรคติดเชื้อไวรัส
Viral infection) ในคนได้หลายโรค
ไวรัสมีลักษณะพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ได้แก่
1.
ไวรัส
ไม่สามารถอยู่เป็นอิสระด้วยตัวเองได้ จำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสัตว์อื่น
ๆเสมอ เช่น ไวรัสตับอักเสบ ต้องอาศัยอยู่ภายในเซลล์ตับและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นภายในเซลล์ ถ้าไวรัสออกมาอยู่นอกเซลล์จะไม่สามารถมีชีวิตและเพิ่มจำนวนได้
2.
เราไม่สามารถมองเห็นเชื้อไวรัสด้วยตาเปล่า ได้ และไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุล ทรรศน์ธรรมดา เครื่องมือเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เรามองเห็นตัวไวรัสได้คือ
กล้องจุลทรรศน์อิ เล็กตรอน (Electron
microscope) ซึ่งต้องใช้กำลังขยายนับแสนเท่าจึงจะมองเห็นตัวไวรัสได้
การแบ่งชนิดของไวรัสสามารถทำได้หลายวิธี
1. แบ่งตามชนิดของสารพันธุกรรมนิวคลีอิคแอซิด (Nucleic acid) ที่ศูนย์กลางของตัวไว รัสเป็นดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA)
2. แบ่งตามรูปร่างของเปลือกโปรตีน
(Capsid) ที่หุ้มอยู่รอบตัวไวรัส เช่น อาจมีรูปร่างหลายเหลี่ยม
หรือเป็นเกลียว เป็นต้น
2.
ทางเลือด
เช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบทุกชนิด เช่น ได้รับเลือดที่มีเชื้อจากการรับเลือด ถูกเข็มฉีดยาที่เปื้อนเลือดผู้ป่วยแทงที่ผิวหนัง เลือดที่มีเชื้อไวรัสเข้าปาก
เป็นต้น
3.ทางการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือเป็นพาหะโรค
(Carrier) ของเชื้อไวรัส เช่น โรคเอดส์ โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma
acuminatum) ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสเอชพีวี (HPV
,Human papilloma virus) เช่น การติดเชื้อเอชพีวีอวัยวะเพศหญิง โรคเริมอวัยวะเพศ
(Herpes progenitalis) ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่
2 (Herpes simplex virus type 2)
4.
ทางการตั้งครรภ์โดยเชื้อไวรัสแพร่จากแม่ไปสู่ลูก
เช่น เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เชื้อไวรัสตับอักเสบ เชื้อไวรัสซีเอ็มวี
(CMV)
โรคหัดเยอรมัน
(Rubella)
6. ทางการถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด
เช่น ไวรัสโรคกลัวน้ำ/โรคพิษสุนัขบ้า
(Rabies) สามารถเข้าสู่ร่างกายทาง บาดแผลที่ถูก
สุนัข แมว ค้างคาวกัด เป็นต้น
8.ทางยุงกัด
เช่น ไวรัสสมองอักเสบ (Japanese B encephalitis virus) ไวรัสโรคไข้ เลือดออกเด็งกี่
(Dengue hemorrhagic fever) ที่พบอยู่เสมอในประเทศไทยเป็นต้น
9.
เข้าทางปาก
เช่น ไวรัสโรต้า/โรคท้องร่วงจากไวรัสโรตา (Rota virus) ซึ่งทำให้เกิดโรคท้องร่วง/ท้องเสีย
(Diarrhea) และไวรัสโปลิโอ (Polio virus) ที่ทำให้เกิดโรคแขนขาลีบ/โรคโปลิโอ เป็นต้น
โรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อย เช่น
- โรคหวัดธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่
- โรคหัด โรคคางทูม โรคอีสุกอีใส โรคโปลิโอ โรคหัดเยอรมัน และโรคไข้เลือดออก
- โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้สมองอักเสบ โรคไข้ทรพิษ
- โรคเริม โรคงูสวัด โรคไวรัสตับอักเสบ โรคตาแดงจากไวรัส
- โรคเอดส์
โรคงูสวัด
(Herpes
zoster)
เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ "วีแซดวี" (varicella-zoster
virus) เป็นคนละโรคกับโรคเริม
คนที่เป็นโรคงูสวัดจะต้องเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน เมื่อภูมิต้านทานอ่อนแอลงจึงกลายเป็นโรคงูสวัด
มักจะเป็นผื่นตามแนว dermatome (แนวเส้นประสาทของผิวหนัง)
และมักจะปวดมาก
สาเหตุของโรค
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (Herpes
zoster)
อาการ
จะมีอาการปวดอย่างมากบริเวณที่เป็นงูสวัด
เจ็บแสบๆ ร้อนๆ บางคนมีอาการคันหรือเป็นไข้
บางคนทรมานจากอาการปวดมากจนนอนไม่หลับเมื่อเป็นอาการแดง มีผื่นขึ้น และบริเวณที่เป็นจะมีกลุ่มของตุ่มน้ำในผิวหนัง
ต่อมาตุ่มน้ำจะเริ่มแห้งและตกสะเก็ดจางหายไป ระยะเวลาตั้งแต่เป็นจนหายไปประมาณ
7-14 วัน ในเด็ก โรคนี้จะไม่รุนแรง เท่าผู้ใหญ่
ลักษณะผื่น
2-3 วันแรก จะมีอาการ ปวดแสบปวดร้อน หรือคัน ตาม dermatome ต่อมาจะมีผื่นขึ้นแบบ erythematous
maculopapular rash ขึ้นไม่มาก อยู่ประมาณ 3-5 วันรวมระยะเวลาแล้ว
คือ 7-10 วันเพราะฉะนั้น จะเห็นเป็นทางขวางตามลำตัวด้านหน้า ด้านหลัง รอบเอว
ตามแนวเส้นประสาทตามยาวที่แขนและขา หรือตามแนวเส้นประสาทที่บริเวณใบหน้า นัยน์ตา
หู ศีรษะ เป็นต้น หากลามเข้าที่ตาแล้วจะทำให้ตาบอด งูสวัด ไม่สามารถจะพันตัวเรา
จนครบรอบเอวได้เพราะแนวเส้นประสาทของตัวเรา
จะมาสิ้นสุดที่บริเวณกึ่งกลางลำตัวเท่านั้น
ในคนธรรมดาที่มีภูมิต้านทานปกติ งูสวัดจะไม่ลุกลามเข้ามาแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่ง
ของร่างกาย (ยกเว้นในกรณีที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่นโรคเอดส์ เป็นต้น
ถ้าเกิดเป็นงูสวัด ก็อาจปรากฏขึ้นสองข้างพร้อมกัน
ดูเหมือนงูสวัดพันข้ามแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่งของร่างกายได้
หรือเป็นงูสวัดทั่วร่างกายได้)
อาการต่อเนื่อง
แผลที่เกิดขึ้น จะสามารถหายสนิทเป็นปกติในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์
อาการปวดตามแนวเส้นประสาทระยะจากที่โรคงูสวัดหายแล้ว คืออาการปวดเจ็บแสบร้อนตามแนวเส้นประสาทนี้
ถึงแม้ว่า ผื่นงูสวัดหายไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีอาการปวดแสบร้อนอยู่ บางรายเป็นอยู่หลายเดือนทำให้ทรมานพอสมควร
มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
อาการแทรกซ้อน
สำหรับอาการแทรกซ้อนที่สำคัญคือ อาการปวดเกิดขึ้นภายหลังจากผื่นหายหมดแล้ว
มักเกิดกับผู้สูงอายุที่เป็นงูสวัดบริเวณประสาทสมองคู่ที่ 5
อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณผื่น หรือโรคแทรกซ้อนทางตา เช่นตาอักเสบ เส้นประสาทตาอักเสบ
หรือ แผลที่กระจกตา ในกรณีของผู้ป่วยที่ภูมิต้านทานต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ อาจมีการกระจายของผื่นทั่วตัวได้
แพทย์บางท่านอาจจะให้ยาฆ่าเชื้อไวรัสชนิดรับประทานเป็นเวลาประมาณ 5-10 วันร่วมด้วย
ทั้งนี้ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
การรักษา
1. รักษาตามอาการคือ กินยาระงับอาการปวด อาการคัน เช่นพาราเซตามอล ไอดาแรค
พอนสแตน คลอเฟนนิรามีน ฯลฯ
ไม่ควรใช้ แอสไพริน ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี
2. ใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งราคาค่อนข้างแพงมาก ควรอยู่ในดุลพินิจของแพทย์
เฉพาะทางด้านผิวหนัง แต่ได้ผลดีมาก ช่วยระงับอาการได้รวดเร็ว และทำให้ระยะเวลา
ของโรคสั้นลง
3. ใช้ยาทากลุ่มฆ่าเชื้อไวรัส เป็นกลุ่มยาอะไซโคลเวียร์
4. ใช้ยาทาพวกเสลดพังพอน ใช้ทาระงับอาการได้ดีพอสมควร ราคาไม่แพง
การปฏิบัติตน
งูสวัด เป็นโรคที่เชื่อว่าไม่ติดต่อ เป็นแล้วหายไปเองได้
เพียงแต่รักษาแผลให้สะอาด
ในระยะเป็นตุ่มน้ำใสที่มีอาการปวดแสบปวดร้อนให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่นๆ หรือ
กรดบอริก 3% ปิดประคบไว้ เมื่อผ้าแห้งก็ชุบเปลี่ยนใหม่ ทำเช่นนี้วันละ 3-4 ครั้งๆ
ละประมาณ 15 นาที
ในระยะตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลต้องระมัดระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่จะเข้าสู่แผลได้
ควรใช้น้ำเกลือสะอาดชะแผลแล้วปิดด้วยผ้าก๊อสที่สะอาด ถ้า
ปวดแผลมากรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล
ในรายเป็นมากหรือรุนแรงจะต้องเข้ารับการตรวจรักษากับแพทย์ทันที เช่น
ผู้ป่วยสูงอายุที่มีอาการปวดและอับเสบรุนแรง
ในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำจากการได้ยากดภูมิต้านทานไว้ ได้แก่
ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง หรือจากการได้รับการฉายรังสี หรือในผู้ป่วยมะเร็ง
เม็ดเลือดขาวและมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง
เป็นต้น
การรับประทานอาหารสามารถรับประทานได้ทุกอย่างไม่มีข้อห้าม
ยกเว้นแต่ของหมักดองที่ควรจะงด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น