แบคทีเรีย (bacteria)
แบคทีเรีย คือ
จุลินทรีย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่เป็นเซลล์แบบโปรแคริโอต (prokariotic
cell) พบทั่วไปในธรรมชาติ ดิน น้ำ อากาศ
แบคทีเรียมีบทบาทสำคัญต่ออาหาร และการผลิตอาหาร
เพราะแบคทีเรียเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาหารเน่าเสีย (microbial spoilage) และทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ
(food poisoning) ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ดังนั้น การถนอมอาหาร (food preservation) ทุกวิธีเป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อทำลาย
หรือควบคุมสภาวะแวดล้อม เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย
แบคทีเรียมีขนาด 0.5-10 ไมครอน (micron) มีรูปร่างต่างๆกัน
บาซิลลัส (bacillus) มีรูปร่าง เป็นท่อน หรือเป็นแท่งเช่น Bacillus, Clostridium, Pseudomonas , Salmonella
สเตรปโทบาซิลลัส (Streptobacillus) เมื่อแบ่งเซลล์แล้วเรียงตัวต่อเป็นสายยาว
ท่อนโค้ง (curverod) เช่น Vibrio
ทรงกลมหรือค็อกคัส (cocus) เช่น
ไมโครค็อกคัส (Micrococcus) เป็นแบคทีเรีย เซลล์เดี่ยวขนาดเล็ก
ดิโพค็อกคัส (Diplococcus) เมื่อแบ่งเซลล์แล้วติดกันเป็นคู่
สเตรปโทค็อกคัส (Streptococcus) แบ่งตัว เรียงตัวเป็นสายยาว เหมือนโซ่
สเตรฟิโลค็อกคัส (Staphylococcus) เป็นลักษณะของ เซลทรงกลมแบ่งตัวหลายระนาบอยู่ติดกันเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่น เช่น Staphylococcus aureus
สไปโรคี (Spirochete) รูปร่างบิดเป็นเกลียว ผนังเซลล์ยืดหยุ่นได้ เช่น Campylobacter jejuni
การเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย
แบคทีเรียขยายพันธุ์โดยการแบ่งตัวแบบทวิภาค (binary fission) คือแบ่งจากหนึ่งเป็นสองเซลเท่าๆกัน ระยะเวลแบ่งเซลเรียกว่า generation time ซึ่งแบคทีเรียแต่ละชนิดจะใช้เวลาไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรียและ สภาพแวดล้อม
โครงสร้างของแบคทีเรีย
แบคทีเรียทุกชนิดมีโครงสร้างที่เป็นองค์ประกอบเซลล์
ได้แก่
- ผนังเซลล์ (cell wall)
- เซลล์เมมเบรน (cell membrane)
- ไซโทพลาสซึม (cytoplasm)
- โครโมโซมเดี่ยว (single chromosome)
- ไรโบโซม (ribosomes)
ในแบคทีเรียบางชนิดจะมี
- แคปซูล (capsules)
- ไกโคแคลิกซ์ (glycocalyx)
- พิลไล (pili) หรือฟิมเบรีย (fimbriae)
- มีโซโซม (mesosome)
- แฟลกเจลลา (flagella)
- อินคลูชันแกรนูล (inclusion granule)
โรคคอตีบ diphtheria
โรคคอตีบหรือ Diphtheria เป็นโรคติดต่อร้ายแรงเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก คอ และหลอดลม เชื้อนี้ทำให้เกิดเยื่ออุดหลอดลม เชื้อยังสารสาร Toxin ซึ่งจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
และอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
เป็นเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Corynebacterium diphtheriae
อาการของโรคคอตีบ
- น้ำมูกไหล
- เจ็บคอ
- ครั่นเนื้อครั่นตัว
- มีไข้
- ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
- มีเยื่อที่คอ
- หายใจลำบาก
- กลืนลำบาก
การติดเชื้อที่ผิวหนัง
เชื้อนี้จะทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังทำให้เกิดอาการเจ็บปวด
แผลมีการอักเสบ และมีหนองเขียวที่แผล
การติดต่อ
โรคคอตีบติดต่อโดยการกิน
หรือหายใจเอาน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วยเข้าไป อาการจะเกิดหลังจากได้รับเชื้อ 2- 10วัน ที่สำคัญผู้ป่วยบางคนมีเชื้อนี้แต่มีอาการน้อยซึ่งอาจจะทำให้เชื้อแพร่
กระจาย การติดต่อมี 3 ทาง
- เมื่อผู้ป่วยจามหรือไอเชื้อโรคจะไปกับน้ำลายและเสมหะ คนปกติเมื่อสูดดมเข้าไปก็จะเกิดโรคโดยเฉพาะในที่ระบายอากาศไม่ดี
- คนปกติได้รับเชื้อจากรับประทานโดยมีการปนเปื้อนน้ำลายหรือเสมหะผู้ป่วย เช่นน้ำดื่ม อาหาร แว่นตา
- ติดต่อจากเครื่องใช้ในครัวเรือนร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว ของเล่น
กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค
- ผู้ที่สัมผัสกับคนที่ป่วยเป็นโรคนี้
- ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน
- ผู้ที่มีภูมิบกพร่อง
- ผู้ที่อาศัยในพื้นที่สุขอนามัยไม่ดี
- นักท่องเที่ยวไปยังแหล่งระบาด
การตรวจร่างกาย
ระบบหายใจ
- ผู้ป่วยจะมีไข้
- เมื่อตรวจคอจะพบฝ้าขาว ที่คอต่อมทอนซิล
- ที่คอจะพบต่อมน้ำเหลือที่คอ ใต้หู
- ฟังปอดอาจจะได้เสียงหลอดลมตีบ stridor
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- หากมีการอักเสบของกล้ามหัวใจ และมีภาวะหัวใจล้มเหลวก็จะตรวจพบหัวใจโต และภาวะน้ำท่วมปอด เมื่อตรวจรังสีทรวงอกจะพบหัวใจโต และมีน้ำในปอด
- การเต้นของหัวใจผิดปกติซึ่งจะทราบจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ทางระบบประสาท
- อาจจะทำให้เส้นประสาทสมองเป็นอัมพาตเกิดอาการปากเบี้ยว ม่านตาโต ตาเข
- มีปลายมือปลายเท้าชา
- มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง
การวินิจฉัยโรค
- จากประวัติการเจ็บป่วย
- จากประวัติไปท่องเที่ยวยังแหล่งระบาด
- ตรวจร่างกายพบแผ่นฝ้าขาวในคอ
- เพาะเชื้อจากแผ่นฝ้าขาว
การรักษา
เมื่อสงสัยว่าจะเป็นโรคคอตีบจะต้องให้การรักษาโดยที่ไม่รอผลการตรวจ
- ให้นอนโรงพยาบาล และนอนห้องแยกโรคเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
- เฝ้าระวังเรื่องระบบหายใจอย่างใกล้ชิดเนื่องจากอาจจะมีการอุดทางเดินหายใจ
- เฝ้าระวังระบบไหลเวียนเนื่องจากโรคคอตีบอาจจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เกิดหัวใจล้มเหลวหรือความดันโลหิตต่ำ
- ยาปฏิชีวนะเช่น penicillinหรือ Erythromycin รักษาทั้งผู้ป่วย และผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ระยะเวลารักษา 14 วันเพื่อฆ่าเชื้อโรค
- ให้ Diphtheria antitoxin ทันทีที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้
- ยาอื่นๆรักษาตามอาการ
- การผ่าตัดเอาแผ่นฝ้าขาวออกหากมีการอุดหลอดลม
- รักษาโรคแทรกซ้อน
- ให้พักผ่อน
การป้องกัน
ป้องกันโดยการให้วัคซีนป้องกันคอตีบ
โรคแทรกซ้อนของโรคคอตีบ
- เยื่อที่แบคทีเรียสร้างอุดหลอดลมทำให้หายใจลำบาก
- กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเกิดหัวใจล้มเหลว
- ไตเสื่อม
- มีการทำลายระบบประสาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น